นับจากปี 2555 ที่กลุ่มเซ็นทรัล โดย “ทศ จิราธิวัฒน์” ตัดสินใจปักหมุดการลงทุนในประเทศเวียดนาม ย่อมต้องเห็นถึงศักยภาพและโอกาสทางธุรกิจ ด้วยปัจจัยรอบด้านและเป็นการมองถึงอนาคตที่ไม่ใช่แค่ 5-10 ปี ถือเป็นการตัดสินใจอันเฉียบคม เพราะผ่านไป 12 ปี วันนี้ภายใต้การบริหารโดย “เซ็นทรัล รีเทล”
สามารถก้าวขึ้นเป็น ผู้นำค้าปลีกต่างชาติรายใหญ่ที่สุดในเวียดนาม ขึ้นแท่นอันดับ 1 ไฮเปอร์ มาร์เก็ต (King of Food Retail) และอันดับ 2 ด้านศูนย์การค้าไลฟ์สไตล์ (King of Mall) พิสูจน์ได้จากผลประกอบการในปี 2566 ที่มียอดขายกว่า 4.7 หมื่นล้านบาท เติบโตขึ้นกว่า 160 เท่า มีจำนวนร้านค้าเพิ่มขึ้นกว่า 300 แห่ง เมื่อเทียบกับปี 2557 ที่มียอดขาย 300 ล้านบาท จากจำนวนสาขาที่มีอยู่ 22 แห่ง
นายญนน์ โภคทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC เล่าให้ฟังว่า เซ็นทรัล รีเทล ถือเป็นผู้นำค้าปลีกต่างชาติรายใหญ่ที่สุดในประเทศเวียดนาม โดยปี 2565 ถือเป็นปีที่บูมที่สุด ก่อนที่จะเจอเรื่องเศรษฐกิจ การเมืองทำให้ในปี 2566 เปิดสาขาใหม่ไม่ได้ แต่นับจากนี้เซ็นทรัล รีเทล พร้อมบุกอีกครั้ง เห็นได้จากการขยายการลงทุนต่อเนื่อง
ไม่ว่าจะเป็นการเข้ามาของ “เซ็นทรัล มาร์เก็ตติ้ง กรุ๊ป” ในเวียดนาม ในเดือนกุมภาพันธ์ 2567 เพื่อนำเสนอแบรนด์ใหม่ๆ เข้าสู่ตลาดรองรับกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูง อาทิ แบรนด์ Dyson ซึ่งปัจจุบันเปิดให้บริการแล้ว 14 สาขาในเมืองฮานอย, ดานัง และเมืองโฮจิมินห์ ทำให้ยอดขาย Dyson ในปีนี้เติบโต 46% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน, แบรนด์ FitFlop เริ่มเปิดบริการในเดือนมีนาคม ปัจจุบันมี 6 สาขา
การลงทุนขยายสาขาของศูนย์การค้า GO! (GO! Mall), ไฮเปอร์มาร์เก็ต GO! (GO! Hypermarket), ซูเปอร์มาร์เก็ต มินิ โก! (go! Supermarket) และสินค้า Private Label แบรนด์ “GO!” ซึ่งมีอยู่กว่า 400 รายการใน 60 หมวด โดยในไตรมาส 3 เปิดศูนย์การค้าและไฮเปอร์มาร์เก็ต GO! ในเมืองห่านาม (เดือนกันยายน) และในไตรมาส 4 เปิดศูนย์การค้าและไฮเปอร์มาร์เก็ต GO! ใหม่อีก 2 สาขา คือเมืองนินห์เถวิ่น และเมืองบักเลียว และจะขยายซูเปอร์มาร์เก็ต go! อีก 4 สาขา ยังไม่นับรวมโมเดลอื่นๆ ที่สยายปีกต่อเนื่องแบบนอนสต็อป
อย่างไรก็ดี จะเห็นว่าเวียดนามเป็น Key Market ในอนาคตข้างหน้า ด้วยธุรกิจค้าปลีกในเวียดนามจะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องจากศักยภาพของประเทศที่มีความพร้อมในหลายปัจจัย โดยคาดการณ์ว่า GDP ของประเทศเวียดนามในปี 2568 จะขยายตัวถึง 6 - 6.5% ทำให้มีความโดดเด่นกว่าประเทศอื่นในอาเซียน
โดยปัจจัยสำคัญที่ทำให้เวียดนามมีการเติบโต ได้แก่ จำนวนประชากรและแรงงานในประเทศที่มีมากเกือบ 100 ล้านคน และประชากรมีอายุเฉลี่ยราว 32 ปี เป็นประชากรในวัยแรงงาน นอกจากนี้รายได้ขั้นต่ำที่เฉลี่ย 363 บาทต่อวัน ถือเป็นสิ่งที่สามารถดึงดูดกลุ่มนักลงทุนได้อย่างดี
รวมทั้งนโยบายด้านภาษีและภูมิรัฐศาสตร์ เวียดนามมีนโยบายที่ส่งเสริมการลงทุน มีการปรับแก้ไขนโยบาย หรือกฎระเบียบที่เอื้อต่อนักลงทุน อนุญาตให้นักลงทุนจากต่างประเทศมาเข้ามาจัดตั้งบริษัทได้ง่าย อีกทั้งยังมีการทำ ‘ข้อตกลงการค้าเสรี’ ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น AFTA, China-ASEAN Free Trade Area
รวมถึงการเป็นสมาชิกของ CPTPP ทำให้เวียดนามยังสามารถดึงดูดให้บริษัทขนาดใหญ่ย้ายฐานการผลิตเข้ามาในประเทศได้ ด้วยภาษีการลงทุนและภาษีส่งออกที่ค่อนข้างต่ำ นอกจากนี้เวียดนามยังมีนโยบายผลักดันด้านการท่องเที่ยวให้กลับมาคึกคัก ส่งผลให้ 6 เดือนแรกของปี 2567 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้น 58%
ด้วยศักยภาพของเวียดนามทำให้เซ็นทรัล รีเทล มีความมุ่งมั่นที่จะขยายธุรกิจค้าปลีกในเวียดนามอย่างเต็มที่ทั้งใน 3 กลุ่มธุรกิจได้แก่ กลุ่มฟู้ด, กลุ่มนอนฟู้ด และกลุ่มพร็อพเพอร์ตี้ เพื่อให้สอดรับกับแนวโน้มของทิศทางเศรษฐกิจในประเทศ รวมทั้งปรับตัวธุรกิจให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่อาจเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา และเตรียมความพร้อมในการรับมือการแข่งขันกับคู่แข่งทั้งในและต่างประเทศ
“สิ้นปี 2567 เซ็นทรัล รีเทล เวียดนาม จะมีศูนย์การค้าทั้งหมด 42 แห่ง ร้านค้ามากกว่า 300 แห่ง ครอบคลุม 42 จังหวัด จาก 63 จังหวัดทั่วประเทศ ประกอบไปด้วย 3 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่ ธุรกิจฟู้ด, ธุรกิจน็อนฟู้ด และธุรกิจพร็อพเพอร์ตี้ พร้อมทั้งยังมีการให้บริการบนแพลตฟอร์มออมนิแชแนล ทั้งร้านค้า และช่องทางออนไลน์ ด้วยฐานลูกค้าที่แข็งแกร่งกว่า 12 ล้านคน
โดยเซ็นทรัล รีเทล เวียดนาม ถือเป็นผู้นำค้าปลีกต่างชาติรายใหญ่ที่สุดในเวียดนาม ขึ้นแท่นอันดับ 1 ไฮเปอร์ มาร์เก็ต (King of Food Retail) และอันดับ 2 ด้านศูนย์การค้าไลฟ์สไตล์ (King of Mall) และในอีก 5 ปีข้างหน้าจะขยายธุรกิจครอบคลุมพื้นที่ 55 จังหวัดทั่วประเทศเวียดนาม
โดยปัจจุบันเซ็นทรัล รีเทล มีรายได้จากอิตาลี 7% เวียดนาม 18-20% ประเทศไทย 70% ในอีก 4-5 ปีข้างหน้า สัดส่วนรายได้จะเปลี่ยนไปเป็นประเทศไทย 65% เวียดนาม 20-25% และอิตาลีราว 10%” นายญนน์ กล่าว
สำหรับเซ็นทรัล รีเทล เป็นผู้บริหารธุรกิจค้าปลีกในรูปแบบ Multi-format and Multi-category ในกลุ่มเซ็นทรัล โดยปัจจุบันมีการลงทุนใน 3 ประเทศ ได้แก่ ไทย, อิตาลีและเวียดนาม โดยมีเครือข่ายร้านค้าภายใต้แบรนด์ค้าปลีกและค้าส่งทั้งหมด 3,744 ร้านค้า (ข้อมูล ณ 30 มิถุนายน 2567) อาทิ ห้างสรรพสินค้า, ร้านขายสินค้าเฉพาะทาง ศูนย์ค้าส่งวัตถุดิบอาหาร, ซูเปอร์มาร์เก็ต, ไฮเปอร์มาร์เก็ต, พลาซ่า และการจำหน่ายสินค้าออนไลน์บนแพลตฟอร์ม Omnichannel
ครอบคลุม 5 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่ 1. กลุ่มฟู้ด อาทิ ท็อปส์, โก โฮลเซลล์, ท็อปส์ มาร์เก็ต เวียดนาม มินิ โก (go!), เวียดนาม ลานชี มาร์ท เวียดนาม 2. กลุ่มฮาร์ดไลน์ อาทิ ไทวัสดุ, เพาเวอร์บาย, ออฟฟิศเมท, บีทูเอส, เมพ และเหงียนคิม 3. กลุ่มแฟชั่น อาทิ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล, โรบินสัน, ห้างรีนาเชนเต (อิตาลี), ซูเปอร์สปอร์ต และ เซ็นทรัล มาร์เก็ตติ้ง กรุ๊ป และ 4. กลุ่มพร็อพเพอร์ตี้ อาทิ โรบินสัน ไลฟ์สไตล์, ท็อปส์ พลาซ่า และ บิ๊กซี / GO! เวียดนาม 5. กลุ่มเฮลธ์แอนด์ เวลเนส อาทิ ท็อปส์แคร์, ท็อปส์วีต้า และ เพ็ทแอนด์มี เป็นต้น
หน้า 15 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 4,040 วันที่ 31 ต.ค. - 2 พ.ย. พ.ศ. 2567