ธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ (Modern trade) กลายเป็นหนึ่งในฟันเฟืองสำคัญที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย โดยเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมค้าส่งค้าปลีกซึ่งมีมูลค่ารวม 2.8 ล้านล้านบาทในปี 2566 คิดเป็นสัดส่วน 15.7% ของ GDP สูงเป็นอันดับสองรองจากภาคอุตสาหกรรมการผลิตที่มีสัดส่วน 24.9% การแข่งขันในสมรภูมิค้าปลีกจึงเป็นที่จับตา โดยเฉพาะจากการแข่งขันของ 2 กลุ่มใหญ่จาก 2 ตระกูล อย่าง “กลุ่มเซ็นทรัล” โดยตระกูลจิราธิวัฒน์ และ “เดอะมอลล์ กรุ๊ป” โดยตระกูลอัมพุช
76 ปีแห่งการเติบโตและปรับตัว การเดินทางของ “จิราธิวัฒน์” เริ่มต้นจากการค้าขายสินค้าหลากหลายประเภทในห้องแถวเล็ก ๆ ย่านเจริญกรุง ก่อนจะขยายสู่ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล และเติบโตเป็น “กลุ่มเซ็นทรัล” ที่มีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจไทย การส่งต่อธุรกิจจากรุ่นสู่รุ่น ทำให้กลุ่มเซ็นทรัลมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการขยายสาขาห้างสรรพสินค้าและศูนย์การค้า การลงทุนในธุรกิจโรงแรม อสังหาริมทรัพย์ สินค้าอุปโภคบริโภค และร้านอาหาร มีพนักงานกว่า 1 แสนคน และฐานลูกค้ากว่า 20 ล้านคน
ปัจจุบันกลุ่มเซ็นทรัล ภายใต้การนำทัพของ “ทศ จิราธิวัฒน์” ถือเป็นผู้นำในธุรกิจค้าปลีกและอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ด้วยธุรกิจในเครือมากกว่า 50 บริษัท ทั้งในไทย เวียดนาม และอีก 7 ประเทศในยุโรป ใน 6 ธุรกิจหลัก ได้แก่
ค้าปลีก (Retail) อาทิ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล (Central), เซ็นทรัลชิดลม (Central Chidlom) ร้านค้าปลีกอื่นๆ อาทิ สินค้าแฟชั่น, เครื่องใช้ไฟฟ้า, ของตกแต่งบ้าน ฯลฯ ศูนย์การค้า (Shopping Malls) เช่น ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ (CentralWorld), ศูนย์การค้าเซ็นทรัล , เมกาบางนา, เอสพลานาด
อสังหาริมทรัพย์ (Real Estate) เช่น โครงการที่อยู่อาศัยหลายประเภท มิกซ์ยูส อาคารสำนักงานต่างๆ เรสซิเดนท์ บ้านเดี่ยว ฯลฯ โรงแรม (Hotels) สินค้าบริโภค (Consumer Goods) และธุรกิจออนไลน์และอีคอมเมิร์ซ (E-commerce): ในยุคปัจจุบัน กลุ่มเซ็นทรัลได้ขยายธุรกิจออนไลน์อย่างเต็มรูปแบบ โดยมีแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซอย่าง Central Online และ Central App เพื่อเข้าถึงลูกค้าในยุคดิจิทัล และขยายตลาดให้ครอบคลุมทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ในปีที่ผ่านมา “กลุ่มเซ็นทรัล” มีมูลค่าหลักทรัพย์รวมกันกว่า 4.23 แสนล้านบาท ด้วยผลประกอบการปี 2567 ที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ในทุกมิติ ทั้งรายได้ กำไรสุทธิ ผลตอบแทนผู้ถือหุ้น จ่ายปันผล และนิวไฮในทุกกลุ่มธุรกิจของบริษัท พร้อมประกาศเดินหน้าลงทุนธุรกิจต่อเนื่อง
ในปี 2568 โดยมุ่งเน้นการขยายธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อรักษาความเป็นผู้นำในตลาด โดยมี “ศูนย์การค้า” เป็นหัวใจสำคัญในการเชื่อมโยงกับธุรกิจหลักอื่นๆ ได้แก่ ที่อยู่อาศัย, โรงแรม และอาคารสำนักงาน ทั้งหมดผนึกกำลังกันเป็น ‘The Ecosystem for All’ ระบบที่แข็งแกร่งและยั่งยืน สร้างประโยชน์และความเติบโตให้กับทุกภาคส่วนทั้งลูกค้า คู่ค้า ผู้ถือหุ้น พนักงาน สังคมและชุมชนไปด้วยกัน
ท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือดในตลาดค้าปลีก “เดอะมอลล์ กรุ๊ป” ภายใต้การนำของ “ศุภลักษณ์ อัมพุช” มุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง นอกเหนือจากการอาณาจักร “เดอะ มอลล์” และการสร้างย่านธุรกิจอย่าง “เอ็ม ดิสทริค” ที่ประกอบไปด้วยเอ็มโพเรียม, เอ็มควอเทียร์ และเอ็มสเฟียร์ ยังคงเดินหน้าปรับกลยุทธ์เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงและรักษาความเป็นผู้นำ โดยมุ่งเน้นการสร้างประสบการณ์ที่แตกต่างและตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของลูกค้าในยุคปัจจุบัน
โดยมีกลยุทธ์ที่น่าสนใจ อย่างมุ่งพัฒนาโครงการมิกซ์ยูสระดับโลก บนทำเลศักยภาพในกรุงเทพฯ เพื่อสร้างแลนด์มาร์กแห่งใหม่และดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ การพัฒนาโครงการมิกซ์ยูสเป็นการสร้างพื้นที่ที่ผสมผสานระหว่างศูนย์การค้า ที่อยู่อาศัย โรงแรม และพื้นที่สำนักงาน เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายของลูกค้า พร้อมจัดแนวรบ พัฒนาเมกะโปรเจกต์ “แบงค็อก มอลล์” (Bangkok Mall) ย่านบางนา มูลค่าลงทุนกว่า 5 หมื่นล้านบาท ประกอบด้วยศูนย์การค้า ศูนย์ประชุม โรงแรม และสำนักงาน เป็นต้น คาดทยอยเปิดบริการช่วงปี 2570 เป็นต้นไป
ทั้งนี้เดอะมอลล์ กรุ๊ป ได้วางกลยุทธ์ ผนึกกำลังกับพันธมิตรด้านการท่องเที่ยว สร้าง Tourism Ecosystem และขยายเครือข่ายการท่องเที่ยว (Tourism Network) เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยมีเป้าหมายส่งเสริมการเติบโตกลุ่มลูกค้านักท่องเที่ยว รวมถึงปูพรมปรับโฉม “เดอะ มอลล์” ที่มีอยู่ให้เป็น “เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์”
เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ที่ต้องการประสบการณ์ที่หลากหลายและครบครัน โดยเดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์นำเสนอสินค้าและบริการที่หลากหลายมากขึ้น รวมถึงพื้นที่สำหรับกิจกรรมและอีเว้นท์ต่างๆการปรับกลยุทธ์ของเดอะมอลล์ในครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะรักษาความเป็นผู้นำในตลาดค้าปลีก และพร้อมที่จะปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย
“ศุภลักษณ์ อัมพุช” ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด เล่าให้ฟังว่า กว่า 4 ทศวรรษของเดอะมอลล์ กรุ๊ป เติบโตด้วยนวัตกรรมและความเป็นเลิศของวิสัยทัศน์ในการจัดการธุรกิจค้าปลีกที่ได้รับการยอมรับระดับสากล ภายใต้โครงการเดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์, เอ็มโพเรียม เอ็มควอเทียร์ เอ็มสเฟียร์ สู่การสร้างย่านการค้าเอ็มดิสทริค บนถนนสุขุมวิท
และผู้ร่วมพัฒนาโครงการสยามพารากอน รวมถึงโครงการบางกอก มอลล์ในอนาคต ซึ่งแสดงถึงการไม่หยุดยั้งเพื่อยกระดับประสบการณ์ช้อปปิ้งและไลฟ์สโตล์ประเทศไทยให้กลายเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก รวมถึงนักท่องเที่ยวจากตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีศักยภาพและเดินทางท่องเที่ยวในประเทศไทยเป็นจำนวนมากในทุกๆปี
วันนี้ “กลุ่มเซ็นทรัล” และ “เดอะ มอลล์ กรุ๊ป” ถือเป็น 2 ผู้ประกอบการค้าปลีกรายใหญ่ ที่ยังคงเดินหน้าสยายปีกการลงทุนในตลาดค้าปลีกและศูนย์การค้าในประเทศไทย โดยทั้งสองกลุ่มมีจุดเด่นและกลยุทธ์ที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ ขนาดและการกระจายตัวของศูนย์การค้า ซึ่ง “กลุ่มเซ็นทรัล” จะมีธุรกิจที่ครอบคลุมทั่วประเทศ รวมถึงช่องทางออนไลน์ผ่าน Central Online และ Central App เพื่อขยายฐานลูกค้าในยุคดิจิทัล
ขณะที่ “เดอะมอลล์” มีศูนย์การค้าเดอะมอลล์ ที่เป็นที่รู้จักกันดีในหลายพื้นที่ เช่น เดอะมอลล์ ท่าพระ, เดอะมอลล์ บางกะปิ, และเดอะมอลล์ งามวงศ์วาน ซึ่งก็มีการขยายพื้นที่และการลงทุนในศูนย์การค้าระดับสูงเช่นกัน แต่จำนวนศูนย์การค้ามีสาขาน้อยกว่าเซ็นทรัล
ด้านกลยุทธ์การตลาดและประเภทสินค้า “กลุ่มเซ็นทรัล” เน้นกลยุทธ์การตลาดที่หลากหลาย ทั้งการทำโปรโมชั่นในห้างสรรพสินค้า, การสร้างประสบการณ์ช้อปปิ้งที่หลากหลาย และการเข้าถึงลูกค้าทุกกลุ่มผ่านทั้งการค้าปลีกในห้างสรรพสินค้าและการขายออนไลน์ นอกจากนี้ยังมีการลงทุนในสินค้าบริโภคและอุปโภคหลายประเภท
ขณะที่ “เดอะมอลล์” เน้นการให้บริการที่เน้นความสะดวกสบาย มุ่งเน้นกลุ่มลูกค้าระดับกลางถึงระดับสูง มีการพัฒนาและจัดการพื้นที่ในห้างสรรพสินค้า มีร้านค้าระดับไฮเอนด์และร้านอาหารที่เป็นที่นิยม รวมถึงการขยายธุรกิจร้านค้าปลีกของตัวเองเช่น Superstore และ Power Mall