แห่ชื่นชม!สนามบินสุวรรณภูมิล็อกล้อ-ติดป้ายประจาน จอดรถทับที่คนพิการ

05 ต.ค. 2565 | 10:12 น.
อัปเดตล่าสุด :05 ต.ค. 2565 | 19:30 น.

โซเชียลชื่นชมสนามบินสุวรรณภูมิล็อกล้อพร้อมติดป้ายประจาน หลังพบผู้กระทำผิด จอดรถในที่จอดรถเฉพาะผู้พิการและผู้สูงอายุ ย้ำคุณไม่ใช่ผู้พิการและผู้สูงอายุ

วันนี้ (5 ต.ค.) เฟซบุ๊ก Chatree Sintateeyakorn ได้โพสต์ภาพที่จอดรถของสนามบินสุวรรณภูมิ อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งมีรถยนต์คันหนึ่งที่จอดในบริเวณที่จอด แต่ถูกติดป้ายตักเตือนและถูกล็อกล้อ เนื่องจากทำผิดกฎห้ามจอดในที่จอดรถคนพิการหรือผู้สูงอายุ

 

แห่ชื่นชม!สนามบินสุวรรณภูมิล็อกล้อ-ติดป้ายประจาน จอดรถทับที่คนพิการ

โดยระบุข้อความบนป้านเตือนว่า"ที่จอดรถเฉพาะผู้พิการและผู้สูงอายุ จากการตรวจสอบจากกล้อง CCTV คุณไม่ใช่ผู้พิการและผู้สูงอายุ"

 

แห่ชื่นชม!สนามบินสุวรรณภูมิล็อกล้อ-ติดป้ายประจาน จอดรถทับที่คนพิการ

 

ทั้งนี้จากภาพดังกล่าวเกิดขึ้นภายในอาคารจอดรถสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งนอกจากจะเป็นการประจานผู้กระทำผิดแล้ว ยังถูกล็อคล้ออีกด้วย

ทั้งนี้ หลังชาวเน็ตที่พบเห็นโพสต์ดังกล่าว ได้ชื่นชม ที่สนามบินสุวรรณภูมิได้ลงโทษผู้ฝ่าฝืนอย่างเหมาะสมที่กระทำผิดจอดในที่จอดผู้พิการหรือผู้สูงอายุ และแนะนำให้ห้างสรรพสินค้าต่างๆ ควรเอาเยี่ยงอย่าง และเอาจริงเอาจังแบบนี้ ผู้ทำผิดจะได้รู้สึกละอาย และไม่กล้าทำผิด

 

นายกิตติพงศ์ กิตติขจร ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด มหาชน (ทอท.) เปิดเผยว่า ปัจจุบันมีรถฝ่าฝืนกฎ เข้าไปจอดที่คนพิการอยู่ตลอดเวลา เฉลี่ยวันละ 2-3 คัน ซึ่งเดิมท่าอากาศยานจะใช้มาตรการล็อกล้อ และให้ไปจ่ายค่าปรับที่สถานีตำรวจภูธรสุวรรณภูมิ

 

แต่พบว่า ค่าปรับ 1,000 บาท ไม่กระทบกระเทือนกับผู้ที่ละเมิดเท่าใดนัก และยังคงนำรถมาจอดอยู่เสมอ ทำให้มีการเพิ่มมาตรการทางสังคม ด้วยการนำป้ายมาติดบริเวณหน้ารถ เพื่อให้รับทราบว่า การกระทำดังกล่าวละเมิดสิทธิผู้พิการและไม่ถูกต้อง ไม่ควรมีใครถูกละเมิดสิทธิ ซึ่งมาตรการดังกล่าวเพิ่งเริ่มใช้ในสัปดาห์นี้

 

สำหรับรถคันดังกล่าวที่เป็นกระแสอยู่ในขณะนี้พบว่า เป็นหนุ่มสาวคู่หนึ่ง ได้นำรถมาจอดที่จอดรถคนพิการ ก่อนที่จะเดินทางไปต่างประเทศ ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบจากกล้องวงจรปิดแล้ว ไม่ได้เป็นคนพิการ และไม่ใช่คนสูงอายุ ตามที่กำหนดไว้ ว่า มีสิทธิจะจอดรถในช่องดังกล่าวได้

 

 

Cr.ภาพ เฟซบุ๊ก "Chatree Sintateeyakorn"