การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ร่วมกับสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) และ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย แถลงดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวในไตรมาสที่ 3/2565 เท่ากับ 65 สะท้อนสถานการณ์การท่องเที่ยวที่ดีขึ้นกว่าไตรมาสที่ผ่านมา แต่ยังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าปกติมาก ผลจากการเปิดประเทศเต็มรูปแบบและเริ่มมีการใช้ Booster Shot ด้านการตลาด
สำหรับไตรมาส 4/2565 ผู้ประกอบการคาดว่าสถานการณ์ท่องเที่ยวจะดีขึ้นอีกโดยมีดัชนีเพิ่มขึ้นเป็น 70 ปัจจัยที่ผู้ประกอบการกังวลในไตรมาสหน้า คือ สภาวะเงินเฟ้อ และการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายด้านพังงานและค่าแรง รายได้ในภาพรวมของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไตรมาสนี้เพิ่มขึ้นมากกว่าไตรมาสที่ผ่านมา โดยมีรายได้กลับมาประมาณร้อยละ 40 ของช่วงก่อนเกิดการระบาดของโรคโควิด-19 สถานประกอบการเปิดบริการร้อยละ 87 ธุรกิจที่พักแรมส่วนใหญ่ (ร้อยละ 78) มีรายได้อยู่ในช่วงร้อยละ 30-50 ของรายได้ก่อนมีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และร้อยละ 27 ระบุว่าขาดแรงงาน
นายชำนาญ ศรีสวัสดิ์ ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กล่าวว่า เรากำลังต่อสู้กับ 4 สงคราม คือ สงครามดิจิตอล ที่ทำให้พฤติกรรมและรูปแบบการจองของนักท่องเที่ยวเปลี่ยนไป สงครามโควิด-19 ทำให้การเดินทางลดลง ผู้ประกอบการขาดสภาพคล่องอย่างรุนแรง ส่วนใหญ่ต้องปิดกิจการชั่วคราว สงคราม Ukraine-Russia ทำให้น้ำมันแพง เงินเฟ้อ เศรษฐกิจชะลอตัว และที่ส่งผลกับการท่องเที่ยวมากที่สุดคือ สงครามแย่งชิงนักท่องเที่ยว หรือ Tourism war game
สทท. ขอเสนอยุทธศาสตร์ 4 สมดุลเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนใน 4 มิติ คือ สมดุลเมืองหลัก-เมืองรอง เพื่อแก้ปัญหา Over-Tourism สมดุลเล็ก-ใหญ่ เพื่อพัฒนาคนตัวเล็ก สมดุล natural-manmade เพื่อลดการพึ่งพาธรรมชาติ สมดุลแผนระยะสั้น-ระยะยาว เพื่อสร้างการอยู่รอดฝ่าวิกฤตในระยะสั้น และสร้างความยั่งยืนด้าน ถึงสังคม เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อมในระยะยาว
นายกิตติ พรศิวะกิจ ประธาน SMART Tourism สทท. กล่าวว่า เราได้จัด Tourism Hackathon เมื่อเดือนที่ผ่านมา โดยสทท. ได้เชิญ 300 ผู้นำการท่องเที่ยวไทย นายกสมาคมจากทุกสาขาอาชีพ ประธาน สทท. ทุกจังหวัด มาระดมสมองแก้ปัญหา-สร้างโอกาส พร้อม Solution เพื่อนำเสนอต่อรัฐบาล 8 เรื่อง คือ Soft-Loan / Hotel Law / Upskill-Reskill / Medical&Wellness hub/ Influencer&Softpower / Digital Platform / Metaverse / Digital Nomad โดยตลาดที่ผู้ประกอบการท่องเที่ยวสนใจมากที่สุด คือ ตลาดท่องเที่ยวข้ามแดนลาว-พม่า-มาเลเซีย-กัมพูชา และตลาดอินเดีย
นางสมทรง สัจจาภิมุข รองประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กล่าวว่า อินเดียเป็นตลาดสำคัญของไทยในปีนี้ มีนักท่องเที่ยวเข้ามาแล้วกว่า 6 แสนคน เป็นอันดับ 2 รองจากมาเลเซีย แต่หากมองเรื่องศักยภาพนั้นตลาดอินเดียมีค่าใช้จ่ายที่สูง และมีอัตราการเติบโตที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยประชากรของอินเดียปัจจุบันมีกว่า 1.4 พันล้านคน มีรายได้สูงขึ้นและมีคนรุ่นใหม่จำนวนมากที่พร้อมจะเดินทางหาประสบการณ์ใหม่ ในขณะที่เศรษฐีชาวอินเดียก็นิยมมาจัดงานแต่งงานที่ประเทศไทย เนื่องจากคุณภาพ ความพร้อมและราคาที่คุ้มค่าที่สุด
ว่าที่ร้อยตรีเอนก นุรักษ์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยกล่าวว่า มาตรการส่งเสริมการตลาดของ Booster Shot ที่ภาครัฐสนับสนุนสิ่งที่ภาคเอกชนได้ร้องขอมาในไตรมาสที่แล้ว นั้นมาถูกทางแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง บัสทัวร์ทั่วไทย ลดทั่วฟ้า-บินทั่วไทย การตอบรับดีมาก และขับเคลื่อนการท่องเที่ยวได้จริง ขอให้เดินหน้าต่อให้แรงขึ้น และยังมีอีก 2 มาตรการที่ขออนุมัติกันไว้แล้ว คือ การสนับสนุนค่าเครื่องบินจากต่างประเทศแบบที่ฮ่องกงกำลังทำ และการส่งเสริมโรงแรมขนาดเล็ก
นายมโนสิทธิ์ แจ้งจบ ประธานอนุกรรมการโรงแรมขนาดเล็ก สทท. กล่าวว่า ผู้ประกอบการโรงแรมขนาดเล็กนั้นมีอยู่ทั่วประเทศมากกว่า 10,000 ราย เรากำลังอยู่ในช่วงการปรับปรุงกฎหมายให้เหมาะสมกับรูปแบบทางธุรกิจที่เปลี่ยนไป เป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่งที่ทั้งภาครัฐและเอกชน ให้ความสำคัญกับเรื่องโรงแรมขนาดเล็ก ทั้งด้านกฎหมาย การสนับสนุนทางการตลาด การเพิ่มสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการ และการพัฒนาบุคลากร
นายชำนาญ กล่าวเสริมว่า sustainable tourism นั้นไม่ใช่แค่เรื่องสิ่งแวดล้อม แต่ต้องเป็นเรื่องของสังคมและเศรษฐกิจด้วย ยุทธศาสตร์ 4 สมดุล จะทำให้คน 3 คน มีความสุข คนในชุมชนมีความสุขจาก การลดมลพิษ ลดการพึ่งพาธรรมชาติ และมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น นักท่องเที่ยวมีความสุข สุขภาพดี จากการให้บริการที่ดีเยี่ยม ผู้ประกอบการมีความสุข มีสินค้าคุณภาพสูงขึ้น มีผลกำไรที่ดีขึ้น และทุกคนได้รับความเป็นธรรมอย่างเท่าเทียม ตามแนวคิด Sustainable = People + Planet + Profit