บริษัท ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด จำกัด ผู้ดำเนินโครงการบัตรสมาชิกพิเศษ ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด ภายใต้การกำกับดูแลของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เผย ผลประกอบการรอบครึ่งปี 66 เติบโตก้าวกระโดดจากปี 65 โดยในช่วงเวลาเดียวกันของปี ยอดขายบัตรเพิ่มขึ้น 254% จาก 1,950 ใบ เป็น 5,041 ใบ
ขณะที่รายได้เติบโต 262% จาก 1,200 ล้านบาทสู่ 3,147 ล้านบาท พร้อมกางแผนปี 66 เดินหน้าสรรหาพันธมิตร หวังเพิ่มยอดขายบัตรสมาชิก 10,000 ใบ ดึงนักท่องเที่ยวและนักลงทุนต่างชาติกลุ่มศักยภาพสูง กระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ
นายมนาเทศ อันนวัฒน์ ผู้จัดการใหญ่ (President) บริษัท ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด จำกัด กล่าวว่า หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โค-วิด19) ผ่านพ้นไป ประกอบกับรัฐบาลมีการผ่อนคลายมาตรการในการเปิดประเทศ เพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวและนักลงทุนชาวต่างชาติ ให้เดินทางเข้ามาภายในประเทศเพิ่มมากขึ้น
จึงส่งผลดีต่อธุรกิจในหลากหลายด้าน และด้วยแผนการขายและการตลาดที่ประสบความสำเร็จส่งผลให้ผลประกอบการรอบครึ่งปี 66 บริษัทฯ เติบโต 262% มีรายได้จากการจำหน่ายบัตรสมาชิกกว่า 3,147 ล้านบาท จากยอดขายบัตรสมาชิก 5,041 ใบ ซึ่งเป็นการเติบโตแบบก้าวกระโดดอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 64 ซึ่งในปัจจุบันบริษัทมีจำนวนสมาชิกที่ถือบัตรไทยแลนด์ พริวิเลจ กว่า 24,000 คน
โดยในปี 66 บริษัทฯ ตั้งเป้ายอดจำหน่ายบัตรสมาชิกอยู่ที่ 10,000 ใบซึ่งเป็นการเติบโต 100% จากยอดจำหน่ายปี 65 โดยแผนการดำเนินงานในครึ่งปีหลัง บริษัทฯ เดินหน้าเต็มกำลังเพื่อสรรหาพันธมิตรคู่ค้า เพิ่มสิทธิประโยชน์ให้กับสมาชิก โดยจะโฟกัสไปที่สิทธิประโยชน์ด้าน Lifestyle มากขึ้น
ไม่ว่าจะเป็น Dining/Shopping/Entertainment เพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่เน้นการใช้ชีวิตที่มีคุณภาพ มีอิสระทางการเงิน ครอบคลุมกลุ่มคนทำงาน, ผู้เกษียณอายุ (Retirement), Digital Nomads, กลุ่มนักลงทุน, กลุ่มผู้ที่ต้องการทำงานในประเทศไทย (Work Permit) รวมไปถึงกลุ่ม Corporate เพื่อมอบประสบการณ์สุดพิเศษเหนือระดับ
ตลอดระยะเวลาการพำนักระยะยาวในประเทศไทย ซึ่งบริษัทฯมองว่า เป็นกลไกสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ โดยการเปิดรับพันธมิตรทางธุรกิจใหม่ๆ สำหรับพันธมิตรที่สนใจเข้าร่วมเป็นคู่ค้ากับบริษัทฯ
โดยในแผนระยะยาวนั้น บริษัทฯ มีแผนการทำการตลาดเชิงรุกเพื่อเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดในต่างประเทศมากยิ่งขึ้นโดยเฉพาะตลาดใหม่ๆ โดยมองว่าตลาด อินเดีย รัสเซีย และตลาดตะวันออกกลาง สามารถพัฒนาเป็นตลาดหลักเช่นเดียวกับ จีน ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกาได้ในอนาคต
นอกจากนี้บริษัทฯ ยังมุ่งพัฒนาองค์กรและบุคลากรอย่างต่อเนื่องเพื่อรองรับจำนวนสมาชิกที่เพิ่มมากขึ้น โดยมีการศึกษาการดำเนินงานตามหลักแนวคิด ESG (Environment, Social and Governance) อย่างเป็นรูปธรรมเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งในอนาคตบริษัทฯ มีแผนขยายการลงทุนไปยังธุรกิจบริการที่เกี่ยวเนื่องเป็นไปตามแผนวิสาหกิจปี 2567-2571