“วัน ออริจิ้น” เป็นบริษัทในเครือบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ซึ่งออริจิ้น ถือหุ้น 100% เพื่อดำเนินธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ หรือ Recurring Income ซึ่งในช่วงโควิด 2 ปีที่ผ่านมา วัน ออริจิ้น เริ่มเปิดให้บริการธุรกิจโรงแรม และมองเห็นว่าในวิกฤตก็มีโอกาส ในสร้างรายได้จากธุรกิจ
รวมถึงการซื้อโรงแรมใหม่เข้าพอร์ตในช่วงที่ผ่านมา จึงทำให้ในช่วง 3 ปีนี้จึงเดินหน้าขยายการลงทุนด้านฮอสพิทาลิตี้ ไม่ว่าจะเป็น โรงแรม รีเทล อาหาร และอาคารสำนักงานเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
นายปิติ จารุกำจร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วัน ออริจิ้น จำกัด เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า วัน ออริจิ้น อยู่ระหว่างลงทุนธุรกิจโรงแรม รีเทล และอาคารสำนักงาน เพื่อสร้างรายได้ประจำ (Recurring Income) ให้กับ ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ฯ โดยในช่วง 3 ปีนี้ (ปี 2566-2568) ในส่วนของธุรกิจโรงแรมซึ่งรายได้หลักกว่า 90% ของวัน ออริจิ้น เราจะลงทุนสร้างโรงแรมใหม่อีกไม่ต่ำกว่า 16 แห่ง เพิ่มจำนวนห้องพัก จาก 1,314 ห้องในปีที่ผ่านมา เป็น 7,000 ห้องในปี 2568
ส่งผลให้มูลค่าโครงการรวมสะสมโดยประมาณในธุรกิจโรงแรมและรีเทล ของ วัน ออริจิ้น เพิ่มจาก 5,620 ล้านบาทในปี 2565 เป็น 50,000 ล้านบาทภายใน 3 ปีข้างหน้า(ปี 2568) ซึ่งเรามองเห็นถึงแนวโน้มการกลับมาของนักท่องเที่ยวหลังโควิด-19 ซึ่งฟื้นตัวเร็วกว่าที่คาดไว้นับจากไตรมาส 4 ปีที่แล้วเป็นต้นมา
อย่างโรงแรมสเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก ทองหล่อ แม้จะเปิดในช่วงโควิดแต่ก็ยังมีอัตราเข้าพักเฉลี่ยทั้งปีกว่า 80% หรือแม้แต่โรงแรมไอบิส 3 แห่งที่เราซื้อมาจากดิเอราวัณ กรุ๊ป เมื่อช่วงปีที่ผ่านมา ก็จะเห็นว่าไอบิส ภูเก็ต อัตราการเข้าพักเฉลี่ยก็100% และนับจากไตรมาส 4 ปีที่ผ่านมา ADR (รายได้เฉลี่ยต่อวัน) ก็สูงกว่าช่วงก่อนเกิดโควิดเสียอีก โรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ ศรีราชา เปิดมา 1 ปี อัตราการเข้าพักเฉลี่ยอยู่ที่ 80%
ดังนั้นจะเห็นได้ว่าการท่องเที่ยวของไทยยังคงขยายตัวต่อเนื่อง โดยมองว่าในอีก 3 ปีนี้การท่องเที่ยวของไทยก็จะยังคงสดใส ทำให้ วัน ออริจิ้น มองทิศทางการขยายการลงทุนโรงแรมไปยังเมืองท่องเที่ยวต่างๆเพิ่มมากขึ้น รวมถึงเมืองที่มีตลาดด้านการศึกษาและแรงงาน นอกจากนี้ในปีนี้ยังมีแผนนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯด้วย
โดยนอกจากการลงทุนโรงแรมในกรุงเทพฯและพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกหรืออีอีซี เราก็มองการลงทุนโรงแรมใหม่ไว้ที่ เชียงใหม่ พัทยา หัวหิน ภูเก็ต เขาใหญ่ ขอนแก่น อุดรธานี ซึ่งการหาพื้นที่ในการลงทุนของ วัน ออริจิ้น เราไม่มีปัญหาในเรื่องนี้ เนื่องจากเราไปเป็นองคายพ โดยหาพื้นที่แปลงใหญ่ที่เหมาะสมในการลงทุนบริษัทแม่อย่างออริจิ้น ก็จะซื้อที่ดิน เพื่อมาลงคอนโดมีเนียม หรือเรสซิเด้นท์
แต่หากทำเลนั้นๆเหมาะสมที่จะทำโรงแรม ก็แบ่งพื้นที่ให้วัน ออริจิ้น พัฒนาเป็นโรงแรม รีเทล หรืออาคารสำนักงานก็ได้ ทั้งยังทำให้เรามีต้นทุนในการก่อสร้างที่ดี หรือบางพื้นที่เหมาะสมที่จะทำแค่โรงแรม เราก็เข้าไปพัฒนาได้ ซึ่งแนวทางก็มองไว้ทั้งสร้างใหม่ หรือ ซื้อธุรกิจโรงแรมที่มีอยู่เดิมมาปรับปรุงใหม่ก็ได้ ขึ้นอยู่กับโอกาสในการดำเนินธุรกิจ
ทั้งนี้ในปีนี้บริษัทจะเปิดให้บริการโรงแรมจำนวน 6 แห่ง เพิ่มจากเดิมที่มีอยู่ 5 แห่ง ส่งผลให้ภายในสิ้นปีนี้จะมีจำนวนโรงแรมเพิ่มจาก 1,314 ห้องเป็น 2,718 ห้อง
ส่วนรีเทล จะเปิดให้บริการเพิ่มอีก 2 แห่ง ภายใต้แบรนด์พอร์ทโทเบลโล มอลล์ ( Portobello) ที่แจ้งวัฒนะ และระยอง ในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ เนื่องจากเราเห็นเทรนด์หลังโควิดคนจะชอบเดินคอมมูนิตี้ มอลล์ มากกว่าศูนย์การค้า ส่วนรีเทลที่อยู่ในโครงการมิกซ์ยูส ก็จะใช้แบรนด์ว่า Neighbor ซึ่งมี 2 แห่ง ที่สุขุมวิท 24 และพญาไท
ทำให้ในปีนี้เราจะมีพื้นที่รีเทลเพิ่มจาก 2,000 ตารางเมตร เป็น 14,000 ตารางเมตร ทำให้มูลค่าโครงการเพิ่มจาก 5,620 ล้านบาท คาดว่าจะเพิ่มเป็น 20,000 ล้านบาทในปลายปีนี้
สำหรับโรงแรมที่จะเปิดให้บริการในปีนี้ทั้ง 6 แห่ง จะประกอบไปด้วย โรงแรม 2 แห่ง ขนาด 400 ห้องในพื้นที่พญาไท กรุงเทพฯด้านหน้าของโครงการพาร์ค พญาไท ที่กำลังพัฒนาเป็นโรงแรมอินดิโก้ 200 ห้อง และโรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ เอ็กซ์เพรส ราว 200 ห้อง เพื่อเจาะตลาดคนละเซ็กเม้นท์ โดยร่วมทุนกับโตคิว แลนด์ เอเชีย คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ภายในสิ้นปีนี้ โรงแรมอินเตอร์คอนติเนลทัล กรุงเทพฯ สุขุมวิท 241 ห้อง เปิดให้บริการต้นไตรมาส 4
รวมถึงโรงแรมเวลเนส สุขุมวิท 107 ซึ่งเป็นอีกหนึ่งแบรนด์ในธุรกิจเวลเนสของออริจิ้น โรงแรมมีขนาด 136 ห้อง มีจุดเด่นความเป็นโรงแรมที่มีจุดขายด้านเวลเนส ซึ่งในส่วนของโรงแรมเพิ่งเปิดให้บริการเมื่อ 2 เดือนที่ผ่านมา ส่วนศูนย์เวลเนส จะเปิดในเดือนกรกฏาคมนี้ ที่จะเน้นการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม
โรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ เอ็กซ์เพรส ระยอง 204 ห้อง ซึ่งเราร่วมลงทุนบริษัท เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ จำกัด (EnCo) บริษัทพัฒนาและบริหารจัดการด้านอสังหาริมทรัพย์ครบวงจรในกลุ่มปตท.เปิดสิ้นปีนี้ และโรงแรมสเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก สุขุมวิท 24 ขนาด 411 ห้อง เพิ่งเปิดให้บริการไปเมื่อต้นปี
ส่วนการพัฒนาโรงแรมในช่วงปี 2567-2568 มีทั้งหมด 11 แห่ง ได้แก่ โรงแรมในย่านรามอินทรา ขนาด 341 ห้อง โรงแรมย่านสนามเป้า พื้นที่ 3.4 หมื่นตรม. ซึ่งร่วมลงทุนกับโตคิว แลนด์ เอเชียโรงแรมย่านบางนา 190 ห้อง โรงแรมสเตย์บริดจ์ สวีท ศรีราชา 192 ห้อง โรงแรมย่านบางกะปิ 479 ห้อง โรงแรมในหัวหิน 258 ห้อง
โรงแรมย่านศรีนครินทร์ 235 ห้อง โรงแรมในพื้นที่อมตะ ชลบุรี 701 ห้อง โรงแรมในพื้นที่เขาใหญ่ 140 ห้อง โรงแรมในพื้นที่พัทยา 653 ห้อง โรงแรมในพื้นที่ภูเก็ต 578 ห้อง ส่งผลให้มูลค่าโครงการรวมสะสมโดยประมาณเพิ่มเป็น 50,000 ล้านบาทภายในปี 2568
โรงแรมที่อยู่ในแผนการก่อสร้าง เรามองว่าจะใช้เชนโรงแรมในการเข้ามาบริหารเหมือนโรงแรมส่วนใหญ่เหมือนโรงแรมที่เราเปิดให้บริการอยู่ในปัจจุบัน ก็มีทั้งเชนอินเตอร์คอนติเนลตัล (IHG) และเชนแอคคอร์ รวมไปถึงการมองหาพันธมิตรเข้ามาร่วมลงทุน
บางโครงการเราก็อาจพัฒนาหรือซื้อมาพัฒนาไปก่อน จากนั้นก็ดึงพันธมิตรเข้ามาร่วมลงทุน หรือเจรจากับพันธมิตรตั้งแต่เริ่มก่อสร้างก็ได้ ขึ้นอยู่กับโอกาสซึ่งพันธมิตรจะถือหุ้นในสัดส่วน 49% หากเป็นผู้ร่วมลงทุนจากต่างประเทศ
เนื่องจากเรามองถึงความแข็งแกร่งในด้านเงินทุน และโนฮาวจากพันธมิตรเข้ามาร่วมลงทุน อย่างโรงแรมสเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก ทองหล่อ ที่เราร่วมลงทุนกับญี่ปุ่น ก็มีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ตรงกับมาตรฐาน อย่างออนเซ็น ก็เทียบเท่ากับมาตรฐานในญี่ปุ่น และยังได้ลูกค้าที่เป็นกลุ่มลองสเตย์อีกด้วย นายปิติ กล่าวทิ้งท้าย