ปิดดีล! แสนสิริ ขายหุ้นโรงแรม Standard ให้กลุ่มไฮแอท โกยหมื่นล้าน

21 ส.ค. 2567 | 03:15 น.
อัปเดตล่าสุด :21 ส.ค. 2567 | 04:16 น.

แสนสิริ ขายหุ้นเครือโรงแรม Standard International ซึ่งถืออยู่ทั้งหมด 71% ให้กลุ่มไฮแอท เชนโรงแรมดังระดับโลก คาดดำเนินการแล้วเสร็จในเดือนกันยายน 2567 โกย 1 หมื่นล้านบาท เพื่อนำเงินทุนไปใช้เพื่อการพัฒนาใหม่ในโอกาสที่น่าสนใจ

วันนี้(วันที่ 21 สิงหาคม 2567) นายอภิชาติ จูตระกูล ประธานกรรมการบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่า Standard International Holdings ซึ่งบริษัทแสนสิริ เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในสัดส่วน 71% ได้ตกลงขายหุ้นที่ถืออยู่ทั้งหมด ให้กับ Hyatt Corporation ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ประกอบการโรงแรมแบรนด์ดังระดับโลก ในราคา 355 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ราว 1 หมื่นล้านบาท)โดยก้อนแรกทยอยจ่าย 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 

ทั้งนี้คาดธุรกรรมดังกล่าว จะเสร็จสมบูรณ์ในเดือนกันยายน 2567 สำหรับประโยชน์ที่คาดว่าบริษัทแสนสิริฯ จะได้รับการทำธุรกรรมดังกล่าวคาดว่าจะเกิดประโยชน์ต่อบริษัท

เนื่องจากจะช่วยเสริมสร้างสถานะทางการเงินของบริษัท อันเนื่องมาจากมูลค่าของธุรกรรมที่นำพอใจและทำให้สามารถนำเงินทุนไปใช้เพื่อการพัฒนาใหม่ในโอกาสที่น่าสนใจ อื่น ๆ ตามเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ของบริษัท

นอกจากนี้ ยังก่อให้เกิดประโยชน์ในระยะยาวด้วยการใช้ประโยชน์จากความเชี่ยวชาญและชื่อเสียงซึ่งเป็นที่รู้จักของ Hyatt ผ่านทรัพย์สินต่าง ๆ ของบริษัทฯ ที่บริหารจัดการหรือได้รับสิทธิแฟรนไซส์ภายได้ Hyat ตลอดจนการทำงานร่วมกันเชิงกลยุทธ์อื่น ๆ ในอนาคต

แสนสิริ ขายหุ้นโรงแรม Standard ให้กลุ่มไฮแอท ปิดดีล! แสนสิริ ขายหุ้นโรงแรม Standard ให้กลุ่มไฮแอท โกยหมื่นล้าน

อย่างไรก็ตามปัจจุบัน Standard International มีโรงแรมในเครือมากกว่า 35 แห่งทั่วโลกส่วนใหญ่เป็นการรับจ้างบริหาร ภายใต้แบรนด์ The Standard แบรนด์ Bunkhouse

ปิดดีล! แสนสิริ ขายหุ้นโรงแรม Standard ให้กลุ่มไฮแอท โกยหมื่นล้าน

อีกทั้งหลังการขายหุ้นดังกล่าวแสนสิริ ก็ยังเป็นเจ้าของโรงแรมแบรนด์เดอะสแตนดาร์ด อย่าง
The Standard, Hua Hin

อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาแสนสิริได้เข้าถือหุ้น Standard International เชนโรงแรมระดับโลก สัญชาติ อเมริกา มาตั้งแต่ตั้งแต่ช่วงปี 2560 จากนั้นก็ทยอยเข้าถือหุ้นจนกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในสัดส่วน 71% ก่อนจะปิดดีลขายหุ้นให้กลับเชนโรงแรม Hyatt (ไฮแอท)

นายอุทัย อุทัยแสงสุข กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาแสนสิริได้รับการติดต่อจากเชนโรงแรมขนาดใหญ่ระดับโลกหลายแห่ง ซึ่งเราวิเคราะห์ว่ายังไม่ใช่ช่วงเวลาที่ดี เนื่องจากพิจารณาจังหวะโอกาส ปัจจัยพื้นฐาน สภาวะตลาด 

อุทัย อุทัยแสงสุข

ตลอดจนนโยบายในการบริหารว่าสอดคล้องกับเป้าหมายและกลยุทธ์ที่แสนสิริกำหนดไว้ คือการสร้างการเติบโตให้กับ Standard International ได้อย่างแข็งแกร่งและมีความมั่นคงในระยะยาว ปัจจุบัน โอกาสทางธุรกิจท่องเที่ยวทั่วโลกกลับมาขยายตัวอีกครั้ง จากนโยบายกระตุ้นการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจ ส่งผลให้แนวโน้มความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวเริ่มฟื้นกลับ ถือเป็นเวลาที่เหมาะสม มีโมเมนตัมเชิงบวกต่อภาพรวมของธุรกิจ 

แสนสิริในฐานะ No.1 แบรนด์ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนําของประเทศไทย ขอขอบคุณ Hyatt แบรนด์โรงแรมชั้นนำชั้นนำระดับโลก ที่เล็งเห็นถึงศักยภาพและโอกาสในการเติบโตของ Standard International หนึ่งในธุรกิจทางด้าน Hospitality ของแสนสิริ  ถือเป็นก้าวสำคัญในแผนพัฒนาเชิงกลยุทธ์ของ Standard International 

โดยมั่นใจว่าการเข้าซื้อกิจการครั้งนี้ของ Hyatt นอกจากจะสะท้อนถึงความสำเร็จในการลงทุน Standard International ของแสนสิริแล้ว ยังเป็นการสร้างโอกาสใหม่ๆ ในหลากหลายด้านให้กับลูกค้าและทีมงานของ Standard International อีกด้วย นายอุทัย กล่าว 

ทั้งนี้ สัญญาจะซื้อจะขายดังกล่าว ยังครอบคลุมสัญญาบริหารและแฟรนไชส์สำหรับโรงแรมมากถึง 21 แห่ง มีห้องรวมกันราว 2,000 ห้อง มีทั้งโรงแรมที่เปิดให้บริการอยู่แล้ว อาทิ The Standard, London (เดอะ สแตนดาร์ด ลอนดอน) The Standard, High Line(เดอะ สแตนดาร์ด ไฮไลน์) ในเมืองนิวยอร์ก The Standard, Bangkok Mahanakhon (เดอะ สแตนดาร์ด แบงค็อก มหานคร) และโรงแรมบูติคอย่าง Hotel Saint Cecilia (โฮเทล เซนต์ เซซิเลีย) ในเมืองออสติน รัฐเท็กซัส และ Hotel San Cristóbal (โฮเทล ซาน คริสโตบัล) ในเมืองบาฮากาลิฟอร์เนีย ประเทศเม็กซิโก

หลังจากที่บรรลุข้อตกลงตามสัญญาดังกล่าว Hyatt จะชำระค่าตอบแทนเริ่มแรกจำนวน 150 ล้านดอลลาร์ และเพิ่มเติมอีกสูงสุดไม่เกิน 185 ล้านดอลลาร์ สำหรับโรงแรมแห่งใหม่ที่เกิดขึ้นภายใต้การบริหารโดย Hyatt  

ขณะที่ผลการดำเนินงานในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2567 แสนสิริมีผลงานยอดขายที่โดดเด่นจากมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ของทางรัฐบาล ที่ทำให้ตลาดเริ่มกลับมามีสัญญาณบวก โดยสามารถสร้างยอดขายรวมได้ถึง 25,000 ล้านบาท คิดเป็น 48% ของเป้าทั้งปีที่ 52,000 ล้านบาท

ทางด้านรายได้ ครึ่งปีแรกทำได้ร่วม 20,000 ล้านบาท คิดเป็น 47% ของเป้าทั้งปีที่ 43,000 บาท โตขึ้น 8% (เทียบ Year on Year) กำไรสุทธิอยู่ที่ 2,700 ล้านบาท เป็นอันดับ 1 ทั้งในด้านรายได้และกำไรสุทธิเมื่อเทียบในกลุ่มบริษัทจดทะเบียนหมวดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของประเทศไทย