ปัจจุบันผู้ประกอบการไทย ไม่เพียงจะเผชิญกับกำลังซื้อของคนไทยที่หดตัว ยังถูกสินค้าจีนทะลักเข้าไทย และการเข้ามาเปิดตลาดของแพลตฟอร์มจีน อย่าง TEMU ซึ่งขายสินค้าถูกกว่า เข้ามาตีตลาด
รวมถึงการรุกคืบเข้ามาเปิดธุรกิจต่างๆ ทั้งร้านอาหาร ซุปเปอร์มาร์เก็ต เพื่อขายคนจีน ที่นับวันจะทวีความรุนแรงมากขึ้น ซึ่งก็เป็นโมเดลการกินรวมธุรกิจ ที่ไม่ต่างจากทัวร์ศูนย์เหรียญ
การเข้ามาของทุนจีน มีทั้งที่ถูกต้องตามกฏหมาย การใช้นอมีนีไทยบังหน้า ไปจนถึงกลุ่มทุนสีเทา ซึ่งกลุ่มทุนจีนสีเทา เป็นปัญหาเรื้อรั้งที่เกิดขึ้นมานาน ที่ไม่เพียงยังปราบปรามกันไม่ได้ แต่นับวันรูปแบบการดำเนินธุรกิจยังมีความหลากหลายมากขึ้น
โดยสิ่งที่น่ากังวลที่สุด คือ “ขนส่งศูนย์เหรียญ” ซึ่งเป็นเครือข่ายที่ใหญ่มาก ซึ่งเป็นการวางเครือข่ายร่วมกับนอมินีจากไทยและลาว ขนส่งสินค้าจีนเข้ามาขายในไทย ทั้งบรรทุกเกินน้ำหนัก และไม่ติดจีพีเอส
การที่บริษัทจากประเทศจีนเข้ามาประกอบกิจการในไทยเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้ผู้ประกอบการในไทยได้รับผลกระทบไม่สามารถไปต่อได้ เนื่องจากประสบปัญหาขาดทุน รวมถึงมีภาระต้นทุนสูงขึ้น จึงทำให้ไม่มีเงินทุน ที่จะเดินหน้าธุรกิจ ทำให้หลายบริษัทต้องปิดตัวลง และจีนก็เข้ามาทำธุรกิจ และต่อยอดธุรกิจ
วันนี้ธุรกิจของทุนจีน จึงลามไปเกือบจะทุกธุรกิจแล้ว ไม่ใช่แค่เรื่องท่องเที่ยวที่ก็กำลังเผชิญกับปัญหาทัวร์จีนทุ่มตลาด ขายทัวร์ราคาต่ำกว่าทัวร์ศูนย์เหรียญ หวังทุ่มตลาดให้ผู้ประกอบการเดิมอยู่ไม่ได้ก่อนจะเข้ามาครองตลาดเต็มตัวแล้วจึงปรับราคาขึ้น
นายศักดิ์ชัย ภัทรปรีชากุล กรรมการบริหาร บริษัท เอ็น.ซี.ซี. แมนเนจเม้นท์ แอนด์ ดิเวลลอปเม้นท์ จำกัด ผู้บริหารศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เปิดเผยว่าในช่วง 8 เดือนแรก (ม.ค.-ส.ค.) ปี 2567 นี้ การเติบโตชัดเจนที่สุดในปีนี้คือประเทศจีน ซึ่งให้ความสนใจเดินทางมาร่วมงานที่ศูนย์ฯสิริกิติ์จำนวนมาก เพิ่มขึ้นกว่า 30% เทียบกับปีที่แล้ว จากจำนวนงานทั้งหมดที่เข้ามาจัดที่นี่
ในปี 2566 มีธุรกิจหรือโรงงานจีนมาเข้าร่วมงานแสดงสินค้าไม่มากนัก แต่ปีนี้เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง อาจจะเกิดจากความสะดวกสบายหลังรัฐบาล ไทย-จีน ประกาศมาตรการยกเว้นวีซ่า (วีซ่าฟรี) ถาวรระหว่างกัน ในแง่ธุรกิจถือว่ามีประโยชน์มาก แต่เรื่องการดูแลให้ทำถูกต้องตามกฎหมายเป็นหน้าที่ของหน่วยงานภาครัฐที่ต้องเข้ามาตรวจสอบและควบคุม
ส่วนมาตรฐานของสินค้าจากธุรกิจหรือโรงงานจีนที่นำมาออกบูธ ได้รับการตรวจสอบว่าผ่านมาตรฐานจากประเทศต้นทางแล้ว เพราะหลายสินค้าต้องสัมผัสร่างกายและเป็นอาหารการกิน
อย่างล่าสุด งาน Food & Hospitality Thailand 2024 จัดระหว่างวันที่ 21-24 ส.ค.2567 เป็นงานสำคัญที่ผู้อยู่ในธุรกิจท่องเที่ยวและบริการต้องเข้าเยี่ยมชม เพราะมีการจัดแสดงสินค้า ผลิตภัณฑ์ และโซลูชั่นด้านธุรกิจท่องเที่ยวกว่า 3,000 แบรนด์ จาก 18 ประเทศ
โดยพบว่าในงานนี้ได้รับความสนใจจากธุรกิจในต่างประเทศจำนวนมาก โดยเป็นธุรกิจจากจีนครองสัดส่วนการร่วมงานกว่า 30% ของผู้ร่วมงานทั้งหมด
“เราจึงอยากให้รัฐบาลสนับสนุนประเทศไทยเป็นมาร์เก็ตเพลสสำหรับภูมิภาคนี้ เพราะหลังหมดยุคโควิดระบาดพบว่าตลาดต่างประเทศฟื้นตัวชัดเจน ยกเว้นตลาดในประเทศที่ยังมีปัญหาเรื่องการบริโภคภายในประเทศ" นายศักดิ์ชัย กล่าวทิ้งท้าย
ด้านนางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่ากรณีทุนจีน ที่เข้าดำเนินธุรกิจในไทย ขณะนี้รัฐบาลก็กำลังเข้าไปดูแลแล้ว โดยถ้ามองในมุมผู้บริโภค คนที่ซื้อสินค้าจีน ก็อยากจะได้ของที่ราคาถูก แต่สิ่งสำคัญ คือ ต้องมีเรื่องของการจัดเก็บภาษีที่ชัดเจน
ส่วนในเรื่องที่มองกันว่าจะกินรวบเรื่องท่องเที่ยว ตอนนี้เรื่องท่องเที่ยวทางรัฐบาลก็ให้ความสำคัญในการไปดูแลกำกับ เพื่อไม่ให้เกิดการกินรวบอยู่แล้ว ก็ชัดเจนว่า กระทรวง กรม ต่างๆที่เกี่ยวข้องต้องไปบังคับใช้กฏหมายในมืออย่างแท้จริง เพื่อไม่ให้เกิดเหตุแบบนี้
ตอนนี้ตำรวจ ก็ต้องควบคุมดูแล ส่วนกรมการท่องเที่ยว ต้องดูว่าบริษัทนำเที่ยว และมัคคุเทศก์ ถูกต้องหรือเปล่า ต้องขึ้นบัญชีดำถ้าเขาทำไม่ถูกต้อง ส่วนกระทรวงพาณิชยต้องมีการขึ้นกำกับดูแล ทุกคนต้องทำหน้าที่ เพราะมันไม่ใช่แค่ตลาดจีน ประเทศไหน ถ้าเกิดว่ามาทำธุรกิจแบบผิดกฎหมาย ไม่ได้ผ่านการจ่ายภาษี หรือการทำไม่ถูกต้อง ก็จะต้องทำให้จดทะเบียนถูกต้อง
โดยต้องตรวจสอบทุกประเทศ ไม่ใช่แค่จีน เรื่องท่องเที่ยว มันไม่ใช่เป็นหน่วยงานเดียวที่ทำเรื่องท่องเที่ยว ทุกหน่วยงานมีส่วนเกี่ยวข้องในธุรกิจภาคบริการ ร้านอาหาร ร้านค้า ร้านอะไร ก็ต้องจดทะเบียนขึ้นทะเบียนให้ถูกต้อง
ปีนี้ททท.ตั้งเป้านักท่องเที่ยวจีนเที่ยวไทย 8 ล้านคน และในปีหน้าคาดว่าจะอยู่ที่ 11 ล้านคน สร้างรายได้กว่า 5 แสนกว่าล้านบาท ซึ่งหลังโควิดเราจะเห็นการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวมีการใช้จ่ายเพิ่มขึ้น
ขณะที่นายอดิษฐ์ ชัยรัตนานนท์ เลขาธิการสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) กล่าวว่า กระแสข่าวสินค้าจีน ทุบตลาด เริ่มเป็นประเด็นต่อเนื่อง จาก TEMU รวมถึงชามตราไก่ ที่เราเอามาจากจีนประเด็นคงไม่ใช่เรื่องราคาที่จีนมาทุบตลาด แต่เป็นปัญหาของ คนไทยเราเองที่ปรับตัวรองรับการแข่งขันด้านราคาของสินค้าจีนไม่ได้
เพราะสินค้าจีนทะลักมาผ่านออนไลน์ และ คนไทยที่เป็นผู้บริโภค ได้ของถูกที่ตรงกับสภาวะที่เราต้องรัดเข็มขัด และ การขนส่งในปัจจุบันเข้าถึงสินค้าได้ง่าย ราคาที่ทุกคนจับต้องได้
ประเด็นที่ผมอยากชวนคิด คือ พอเราต้องแข่งกับของถูก ก็มีปัญหาต้นทุนการผลิต ที่ Economy of scale เราใหญ่ไม่พอ แต่พอต้องแข่งเรื่อง คุณภาพ และ นวัตกรรม ก็บอกว่า เราเก่งไม่พอ พัฒนาเองไม่ได้
แต่สินค้าที่เราผลิตเอง ที่เกิดจากภูมิปัญญาท้องถิ่น และ แหล่งธรรมชาติของเรา ก็กลัวขายไม่ได้ ผมว่า “เราเองต่างหากคือปัญหา”เรายอมแพ้ตั้งแต่ไม่ได้สู้ และ กังวลในทุกมุม
เราจึงติดกับดับความคิดตนเอง ตั้งแต่ระดับนโยบาย ที่ไม่กล้าออกกฎหมาย หรือ มาตรการคุ้มกันคนไทย ผู้ประกอบการ ไม่กล้าที่จะสู้ในด้านคุณภาพ และ ยกระดับการสร้างแบรนด์สินค้าให้เกิดมูลค่า ส่วนผู้บริโภค ให้ความสำคัญ และคุณค่ากับคำว่า “Made in Thailand” น้อยเดินไป กลายเป็น ”เราด้อยค่าตนเองในทุกมิติ“
แถมมาเจอการเมืองที่อ่อนแอ แข่งขันช่วงชิงอำนาจจนแทบไม่มีเวลาออกทำนโยบายในการแก้ไข ปัญหาของประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ วันนี้ประเทศไทยต้องรณรงค์ให้เชื่อตนเอง มีความเชื่อมั่น และ ศรัทธา กับประเทศตนเอง คิดใหม่ เชื่อมั่น ศรัทธา เราคือไทยที่เข้มแข็ง และมีคุณภาพที่จะยืนหยัดบนเวทีโลกได้อย่างภาคภูมิ