นายสินิตย์ เลิศไกร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์เปิดเผยว่าล่าสุดกรมทรัพย์สินทางปัญญาประกาศให้ ทุเรียนสะเด็ดน้ำยะลา เป็นสินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) ตัวใหม่ของจังหวัดยะลาถือว่าเป็นสินค้าGIตัวที่2 ถัดจาก กล้วยหินบันนังสตา ที่ได้ขึ้นทะเบียน GI ไปก่อนหน้านี้ทั้งนี้ต้องบอกว่าทุเรียนไทยขึ้นชื่อในเรื่องคุณภาพซึ่งคลาดส่งออกาสำคัญของไทยคือ จีน
ดังนั้นการขึ่นทะเบียนGIในครั้งนี้จะเป็นการ ช่วยกระตุ้นการส่งออกผลไม้ไทยสู่ตลาดต่างประเทศ ไม่เฉพาะตลาดจีนแต่ยังรวมไปถึงตลาดมาเลเซียด้วย ซึ่งสอดรับนโยบายสร้างความเข้มเเข็งเศรษฐกิจชุมชนไทย กระจายรายได้สู่เกษตรกรรายย่อย
“ด้วยรสชาติและกลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร ทำให้ทุเรียนสะเด็ดน้ำยะลามีราคาสูงถึง 190 บาท/กก. สร้างรายได้ให้คนยะลามากถึง 2,800 ล้านบาทต่อปี ซึ่งทุเรียนสะเด็ดน้ำยะลาขึ้นชื่อเรื่องรสชาติที่โดดเด่น หวานมัน เนื้อเเห้ง ละเอียด เส้นใยน้อย มีกลิ่นเฉพาะตัวและเนื้อมีสีเหลืองอ่อนหรือเข้มตามแต่ละสายพันธุ์ ได้แก่ พันธุ์ก้านยาว พันธุ์ชะนี พันธุ์พวงมณี พันธุ์มูซังคิง
และพันธุ์หนามดำหรือโอฉี่ ปลูกได้ตลอดทั้งปี ปลูกบนพื้นที่สูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง ตั้งเเต่ 100 เมตรขึ้นไป ตามไหล่เขา สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ในช่วงเดือนกรกฎาคม – กันยายน ของทุกปี ผนวกกับความเข้มแข็งของกลุ่มเกษตรกรในพื้นที่ที่ร่วมกันพัฒนาคุณภาพสินค้าเเละบรรจุภัณฑ์ จึงทำให้ ทุเรียนสะเด็ดน้ำยะลาเป็นอีกหนึ่งแหล่งรายได้สำคัญของยะลา”
ทั้งนี้การขึ้นทะเบียน GI ทุเรียนสะเด็ดน้ำยะลา ถือเป็นก้าวสำคัญของการยกระดับสินค้าเกษตรไทยสู่สายตาชาวโลก สร้างมูลค่าเพิ่ม สร้างงานและรายได้ให้แก่ผู้ประกอบการวิสาหกิจ ชุมชนและเกษตรกรในพื้นที่อย่างยั่งยืน สำหรับวิสาหกิจชุมชนหรือชุมชนท้องถิ่นที่มีสินค้าอัตลักษณ์พื้นถิ่นที่มีคุณลักษณะเฉพาะของแหล่งภูมิศาสตร์และเป็นสินค้าที่มีคุณภาพมีชื่อเสียง