จากกรณีที่ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. แถลงแผนยุทธศาสตร์ ก.ล.ต. ปี 2567 – 2569 ให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างความน่าเชื่อถือของตลาดทุนไทย และส่งเสริมตลาดทุนเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญสู่เศรษฐกิจดิจิทัล โดยรัฐบาลได้เห็นชอบในหลักการที่ลดอุปสรรคของการส่งเสริมระบบนิเวศของสินทรัพย์ดิจิทัล อีกทั้งเป็นการสนับสนุนให้นำเทคโนโลยีมาใช้ในการระดมทุนผ่านโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุน (Investment Token) เพื่อส่งเสริมการพัฒนา นวัตกรรมให้เป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น
ล่าสุด นายธนวัฒน์ เลิศวัฒนารักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ เวนเจอร์ส จำกัด (J Ventures) ผู้พัฒนาแพลตฟอร์มและเทคโนโลยีบล็อกเชนในเครือเจมาร์ท เปิดเผยว่า แผนยุทธศาสตร์ของ ก.ล.ต. ส่งผลดีต่อ J Ventures ในฐานะผู้นำตลาด Blockchain ตามนโยบายของกลุ่มบริษัทเจมาร์ทที่ขับเคลื่อนธุรกิจด้วยเทคโนโลยี โดย เจ เวนเจอร์ส ได้รุกพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัล สู่ผู้นำ DX-Digital Transformation และนำ JFIN Chain ขยายการเติบโต และขยายระบบนิเวศ ให้กลุ่มบริษัทเจมาร์ท และขยายวงกว้างอกไปในอนาคต โดยระบบ JFIN Chain ถือเป็นระบบ Blockchain ที่ได้รับการยอมรับ และเชื่อมั่นมากว่า 5 ปี
ทั้งนี้ในวันที่ 7 ธันวาคม 2566 ภายหลังการแถลงของแถลงแผนยุทธศาสตร์ ก.ล.ต. และการสนับสนุนของภาครัฐอย่างเป็นรูปธรรมในเรื่องดังกล่าว สนับสนุนให้โทเคนดิจิทัล JFIN ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดย Bitkub Exchange ราคา JFIN บนกระดานในช่วง 24ชั่วโมง (ของวันที่ 7 - 8 ธันวาคม 2566) ปริมาณซื้อขายหนาแน่น
มากกว่า 11 ล้าน พุ่งไปมากกว่า 100% โดยมีราคาสูงสุดที่ 12.5 บาทต่อ JFIN มองว่าเป็นการสะท้อนการตอบรับของข่าวดีต่อผู้ลงทุน ที่ให้ความสนใจในประเด็นนี้และจะยิ่งส่งผลดีต่อ Node Validator ซึ่งเป็นกลุ่ม หรือ หน่วยงาน ที่นำ JFIN Token มา Stake ไว้กับระบบ JFIN Chain จะได้รับมูลค่าของการร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการเป็น Node Validator มากขึ้น
นายธนวัฒน์ กล่าวถึงความคืบหน้า แผนการเดินหน้าจับมือพันธมิตร BitmonsterNFT เกมส์ NFT เลี้ยงสัตว์วิเศษสัญชาติไทย พร้อมให้ผู้เล่นสามารถ สร้างดินแดนและเลี้ยงเหล่ามอนสเตอร์ได้แล้วบน JFIN Chain และเดินหน้าขับเคลื่อนให้บล็อกเชน และ แอปพลิเคชันเติบโตสู่ Community เกมเมอร์ พร้อมกับการมุ่งสร้าง Ecosystem ให้แข็งแกร่ง และขยายการใช้งานให้กว้างขึ้น โดยขณะนี้เรามี DApps ที่เข้ามาทำงานบนเชน กว่า 20 แอปพลิเคชัน นอกเหนือจากการเดินทางผลักดันให้เกิดการพัฒนา แอปพลิเคชันเพื่อตอบสนองการทำงานของธุรกิจแล้ว ยังต้องการที่จะตอบโจทย์การใช้งานของทุก ไลฟ์ สไตล์
นอกจากนี้สำหรับเทรนด์ของ Bitcoin Halving 2024 ที่จะเกิดขึ้นในปีหน้า 2567 มองอาจเป็นโอกาส โดยตามสถิติย้อนหลังในช่วงกว่า 10 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี 2012 แต่ละครั้งที่เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น ราคาของ Bitcoin จะทำนิวไฮ ซึ่งอันนี้เป็นสถิติย้อนหลัง แต่ละปีมีปัจจัยภายนอกไม่เหมือนกัน โดยคาดว่าในช่วงเมษายนจะเป็น Bitcoin Halving ครั้งที่ 4 ในปี 2024 นี้มองว่าจะน าไปสู่กระแสคริปโตเคอเรนซี่ได้รับความสนใจจากทั้งผู้ลงทุนและสถาบัน สนับสนุนอุตสาหกรรมเศรษฐกิจดิจิทัลเช่นเดียวกัน “Tokenization” ที่จะเชื่อมโลกธุรกิจกับสินทรัพย์ดิจิทัลได้.