“งาดำ" พันธุ์อุบลราชธานี 3 พืชหลังนาทางเลือกสร้างรายได้ไร่ละ 3,000 บาท

26 พ.ค. 2567 | 00:25 น.
อัปเดตล่าสุด :26 พ.ค. 2567 | 04:24 น.

“งาดำ" พันธุ์อุบลราชธานี 3 ผลงานวิจัยจาก กรมวิชาการเกษตร ทางเลือกเกษตรกรปลูกพืชหลังนา ปลูกง่าย สามารถสร้างรายได้ไร่ละ 3,000 บาท เช็คข้อมูลแบบเจาะลึกทุกรายละเอียด

งาดำ” หนึ่งในพืชมูลค่าสูง และมีประโยชน์ต่อร่างกายหลายอย่าง กำลังกลายเป็นหนึ่งทางเลือกให้กับเกษตรกรไทย กับการปลูกเป็นพืชหลังนา สร้างรายได้ ล่าสุด กรมวิชาการเกษตร ได้พัฒนา “งาดำพันธุ์อุบลราชธานี 3” ซึ่งมีลักษณะพิเศษที่มีผลผลิตต่อไร่สูง

นายรพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่า ศูนย์วิจัยพืชไร่อุบลราชธานี กรมวิชาการเกษตรได้ดำเนินงานวิจัยงาทั้งด้านเทคโนโลยีการปลูก การผลิตงา และการแปรรูป โดยมีองค์ความรู้และเทคโนโลยีการปลูกงาในสภาพไร่และรา ทั้งในระบบอินทรีย์ เกษตรดีที่เหมาะสม (GAP) และเทคโนโลยีการผลิตเมล็ดพันธุ์ วิทยาการหลังการเก็บเกี่ยว และการแปรรูปงาเพิ่มเพื่อมูลค่าให้แก่งา พร้อมที่จะถ่ายทอดให้แก่กลุ่มเกษตรกรที่สนใจ 

โดยเฉพาะ “งาดำพันธุ์อุบลราชธานี 3” ซึ่งลักษณะเด่นให้ผลผลิตเฉลี่ย 135 กิโลกรัม/ไร่ เมล็ดโต มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง 12,813 มิลลิกรัม /กิโลกรัม แคลเซียมสูง 0.73%  และมีอายุเก็บเกี่ยว 80 – 85 วัน  

ทั้งนี้ที่ผ่านมาเกษตรกรมีความพึงพอใจกับผลผลิต “งาดำพันธุ์อุบลราชธานี 3” สามารถปลูกเป็นพืชหลังนา ทดแทนการปลูกข้าวนาปรัง มีรายได้เสริมจากการจำหน่ายผลผลิตงาดำพันธุ์อุบลราชธานี 3 รวมทั้งผู้ประกอบการมีความพึงพอใจกับผลผลิตงาอินทรีย์ 

แต่ยังมีปัญหาปริมาณผลผลิตยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด การเพิ่มพื้นที่ของการปลูกงาดำพันธุ์อุบลราชธานี 3 จึงมีความจำเป็น ซึ่งเกษตรกรรายใหม่มีความสนใจและอยากเรียนรู้การปลูกงาดำพันธุ์อุบลราชธานี 3 แต่มีข้อจำกัดคือ เกษตรกรในพื้นที่ใหม่ยังไม่มีความคุ้นชินกับการปลูกงาตามหลักวิชาการต่อไป

 

ภาพประกอบข่าว “งาดำพันธุ์อุบลราชธานี 3” ปลูกเป็นพืชหลังนา ทดแทนการปลูกข้าวนาปรัง

ต่อยอดวิจัย “งาดำ” สู่เกษตรกร

นางศิริรัตน์ กริชจนรัช นักวิชาการเกษตรชำนาญการพิเศษ ศูนย์วิจัยพืชไร่อุบลราชธานี อธิบายเพิ่มเติมว่า ศูนย์วิจัยพืชไร่อุบลราชธานี ได้ดำเนินโครงการ 3 โครงการเพื่อนำงานวิจัยงาไปใช้ประโยชน์ถ่ายทอดสู่เกษตรกร คือ

1.โครงการเทคโนโลยีการปลูกงาในนาข้าว จากวิสาหกิจชุมชนสู่อุตสาหกรรมอาหารเพื่อสุขภาพ โครงการนี้ได้ส่งเสริมให้เกษตรกรในชุมชน ตำบลขามเปี้ย อำเภอตระการพืชผล จังหวัดอุบลราชธานี ปลูกงาอินทรีย์หลังการทำนาปี  

โดยจัดอบรมและถ่ายทอดองค์ความรู้ผ่านแปลงต้นแบบ มีการติดตามแปลงต้นแบบและแปลงขยายผล จำนวน 25 แปลง มีเกษตรกรที่ประสบผลสำเร็จในการปลูกงาจนเก็บเกี่ยวผลผลิต 18 ราย พื้นที่ 20 ไร่ ผลผลิตรวม 441 กิโลกรัม และจำหน่ายให้แก่บริษัทในราคากิโลกรัมละ 100 บาท

2. โครงการพัฒนาชุมชนต้นแบบ เพื่อผลิตเมล็ดพันธุ์งาอินทรีย์และงา GAP ในสภาพนา เพื่อยกระดับรายได้ให้เกษตรกรอย่างยั่งยืน ศูนย์วิจัยพืชไร่อุบลราชธานีมีแนวคิดที่จะสร้างเกษตรกรต้นแบบในการผลิตเมล็ดพันธุ์งาคุณภาพ เพื่อให้เกษตรกรผลิตใช้เองหรือจำหน่ายในชุมชน ช่วยลดต้นทุนการซื้อเมล็ดพันธุ์ และเป็นรายได้เสริมให้กับเกษตรกรผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ 

ผลการดำเนินงานได้สร้างชุมชนต้นแบบผลิตเมล็ดพันธุ์งาดำพันธุ์อุบลราชธานี 3 ได้ 3 ชุมชน ได้เกษตรกรต้นแบบเพื่อถ่ายทอดหรือให้คำแนะนำการผลิตเมล็ดพันธุ์งา จำนวน 10 ราย แปลงต้นแบบผลิตเมล็ดพันธุ์ จำนวน 20 แปลง พื้นที่ 35 ไร่ ผลผลิตเมล็ดพันธุ์งารวม 1,498 กิโลกรัม ผลตอบแทนในการผลิตเมล็ดพันธุ์งา GAP ของแปลงต้นแบบ 4,538 บาท/ไร่ งาอินทรีย์ 5,470 บาท/ไร่ เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นประมาณ 3,000 บาท/ไร่  

3. โครงการการพัฒนาศักยภาพผู้นำเกษตรกรและกลุ่มเกษตรในชุมชนต้นแบบการผลิตงา ขับเคลื่อนระบบการผลิตและการแปรรูป เพื่อเพิ่มรายได้ให้เกษตรกรอย่างยั่งยืน จากการดำเนินงานได้สร้างชุมชนต้นแบบการผลิตงา 3 ชุมชน เกษตรกรต้นแบบ 10 ราย เป็นพี่เลี้ยงถ่ายทอดความรู้ด้านการปลูกงาและการแปรรูปงา ทำให้ได้ผลิตภัณฑ์แปรรูปที่สามารถผลิตได้ในระดับชุมชน 2 ผลิตภัณฑ์ คือ 

สบู่งาและน้ำมันนวดน้ำมันงา ซึ่งกลุ่มเกษตรกรได้ปรับสูตรและติดฉลากภายใต้ชื่อกลุ่มเกษตรกร โดยศูนย์วิจัยพืชไร่อุบลราชธานีแนะนำให้ผลิตภัณฑ์แปรรูปงาได้รับการรับรองมาตรฐานจากหน่วยงานที่รับผิดชอบ เพื่อให้ผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นในความปลอดภัยของตัวสินค้า ซึ่งขณะนี้กลุ่มวิสาหกิจกำลังดำเนินการขอรับรอง

 

ภาพประกอบข่าว “งาดำพันธุ์อุบลราชธานี 3” ปลูกเป็นพืชหลังนา ทดแทนการปลูกข้าวนาปรัง

 

วิธีการเพาะปลูก “งาดำ”

เกษตรกรภายใต้โครงการที่นำ “งาดำพันธุ์อุบลราชธานี 3” มาใช้ประโยชน์ ได้มีการรวมกลุ่มที่เข้มแข็งภายในชุมชน  ทำให้ได้เกษตรกรต้นแบบที่มีความกระตือรือร้นผลิตงาดำพันธุ์อุบลราชธานี 3 อินทรีย์ครบวงจร ทั้งการผลิตวัตถุดิบและการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์งา ทำให้มีความต้องการปลูกอย่างต่อเนื่อง 

โดยกรมวิชาการเกษตรแนะนำให้ปลูกงาดำพันธุ์อุบลราชธานี 3  โดยใช้อัตราเมล็ด 0.5-1 กิโลกรัม/ไร่ เตรียมดินปลูกให้มีความร่วนซุย ใส่ปุ๋ยอินทรีย์อัตรา 500-1,000 กิโลกรัม/ไร่ ควรให้น้ำทุกสัปดาห์ จากนั้นให้น้ำเมื่อดินแห้ง 

ทั้งนี้ควรถอนแยกให้ต้นงามีระยะห่างที่เหมาะสมไม่ชิดกันจนเกินไป หมั่นตรวจสอบการเข้าทำลายของหนอนกระทู้ใบงา ซึ่งสามารถป้องกันกำจัดด้วยการใช้น้ำหมักสมุนไพร สามารถเก็บเกี่ยวงาดำพันธุ์อุบลราชธานี 3 ได้เมื่ออายุ 95-100 วัน หรือฝักคู่ที่ 3 นับจากยอดเมล็ดเปลี่ยนเป็นสีดำ

ประโยชน์ของ “งาดำ” 

ข้อมูลของ สำนักโภชนาการ กรมอนามัย ระบุว่า “งาดำ” อุดมไปด้วยด้วยวิตามินและแร่ธาตุ เช่น วิตามินบีรวม แมกนีเซียม โพแทสเซียม โซเดียม ฟอสฟอรัส เหล็ก แคลเซียมและสังกะสี ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูก และวิตามินอีช่วยบำรุงผิวพรรณ 

ทั้งนี้เมื่อกินงาดำเป็นประจำจะช่วยให้กระดูกแข็งแรง ผิวพรรณดี ลดระดับคอเลสเตอรอล ลดความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือดหรือโรคความดันโลหิตสูง ป้องกันโรคมะเร็ง โดยเฉพาะโรคมะเร็งลำไส้ ผู้สูงอายุควรกินงาดำวันละ 10 ช้อน คนวัยทำงานควรกินงาดำวันละ 3 – 4 ช้อน

 

ภาพประกอบข่าว “งาดำพันธุ์อุบลราชธานี 3” ปลูกเป็นพืชหลังนา ทดแทนการปลูกข้าวนาปรัง