“ปุ๋ย-ชีวภัณฑ์คนละครึ่ง”แข่งเดือด 50 บริษัทประกาศร่วมวงชิงเค้ก

“ฐานเศรษฐกิจ” เกาะติดโครงการสนับสนุนปุ๋ยลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2567/68 หรือ “ปุ๋ยคนละครึ่ง” ล่าสุดวันที่ 2 กรกฎาคม ที่ผ่านมา กรมการข้าว ได้จัดประชุมชี้แจง ให้กับผู้ประกอบกิจการปุ๋ยและชีวภัณฑ์ ถึงหลักเกณฑ์ เงื่อนไขโครงการ ตามเงื่อนไขและราคาที่กรมการข้าวกำหนด เพื่อจำหน่ายให้กับเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตร 4.68 ล้าน ซึ่งได้ผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) และที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) แล้ว ทั้งสูตรปุ๋ยเคมี อินทรีย์ และชีวภัณฑ์จะต้องได้รับการขึ้นทะเบียนจากกรมวิชาการเกษตรสำหรับนาข้าวเท่านั้น

แหล่งข่าวจากผู้ประกอบการปุ๋ยเคมี-ชีวภัณฑ์ เผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ผลจากการประชุมที่มีนายณัฏฐกิตติ์ ของทิพย์ อธิบดีกรมการข้าว และในฐานะประธานคณะกรรมการกำหนดราคาควบคุมปุ๋ยและชีวภัณฑ์โครงการสนับสนุนปุ๋ยลดต้นทุนการผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ได้ข้อสรุปว่า มีสูตรปุ๋ยเคมี จำนวน 14 สูตรในจำนวนนี้มี 9 สูตรเท่านั้น ที่จะได้ขายในโครงการนี้ได้ อาทิ สูตร 25-7-14, สูตร 20-8-20, สูตร 46-0-0, สูตร 18-12-6, สูตร 16-8-8 เป็นต้น ส่วนอีก 5 สูตรไม่สามารถเข้าร่วมโครงการได้เพราะไม่ได้ขึ้นทะเบียนสำหรับนาข้าว ส่วนปุ๋ยอินทรีย์ และชีวภัณฑ์ มีคำแนะนำสำหรับนาข้าวทุกสูตร (กราฟิกประกอบ)

สำหรับการใช้ปุ๋ยสำหรับโครงการนี้คาดจะใช้ทั้งสิ้น 2.7 ล้านตัน ให้ยึดตามการขึ้นทะเบียนเกษตรกร ของกรมส่งเสริมการเกษตรสำหรับฤดูนาปี โดยภาคอื่นๆ ให้จ่ายปุ๋ยไม่เกินวันที่ 31 ตุลาคม 2567 ส่วนภาคใต้ จ่ายปุ๋ยไม่เกินวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 โดยในวันที่ 5 กรกฎาคม จะมีการประชุมกำหนดราคากลางปุ๋ยแต่ละสูตร รวมค่าขนส่ง เป็นราคาเดียวทั้งประเทศ ยกเว้นปุ๋ยและชีวภัณฑ์ที่ขึ้นบัญชีนวัตกรรม ให้ยึดราคาขายตามสำนักงบประมาณกำหนด ส่วนผู้ที่จะผลิตชีวภัณฑ์ หรือนำมาจำหน่าย ต้องเป็นชีวภัณฑ์ที่ไม่ได้นำเข้ามาจากต่างประเทศ ต้องผลิตในประเทศเท่านั้น ซึ่งในที่ประชุมยังไม่สรุปราคา มีการนัดหมายใหม่ในวันที่ 11 กรกฎาคมนี้ 

“เมื่อได้ราคากลางแล้ว กรมการข้าวจะเปิดรับสมัครผู้ประกอบการกิจการปุ๋ยเคมี ปุ๋ยอินทรีย์ และชีวภัณฑ์ ในประเทศเข้าร่วมโครงการในวันที่ 8-10 กรกฎาคมนี้ ล่าสุดมีผู้ประกอบการสนใจจะเข้าร่วมโครงการมากกว่า 50 บริษัท”

นอกจากนี้ตามคำจำกัดความสำหรับสหกรณ์ในคู่มือ คือ “สหกรณ์การเกษตร” เท่านั้น มีไม่ตํ่ากว่า 1,500 สหกรณ์ทั่วประเทศที่จะเป็นผู้รวบรวมคำสั่งซื้อจากเกษตรกร และจะสั่งซื้อสินค้าผ่านระบบแอปพลิเคชันของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ซึ่งบริษัท/ร้านค้า ที่เข้าร่วมโครงการในพื้นที่จะจัดส่งสินค้าให้เกษตรกรภายใน 15 วัน ทั้งนี้เกษตรกรจะได้รับการช่วยเหลือได้ครั้งเดียว ราคาไม่เกิน 500 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 20 ไร่ หรือไม่เกิน 10,000 บาท ตามราคาปุ๋ยที่จ่ายจริง รวมมูลค่าปุ๋ยไม่เกิน 20,000 บาท งบประมาณรวม 29,980.17 ล้านบาท

แหล่งข่าว กล่าวว่า เมื่อผู้ประกอบการได้รับการคัดเลือกจากกรมการข้าว ก็สามารถเลือกพื้นที่จำหน่ายทั่วประเทศตามความสามารถของบริษัทนั้นๆ แต่ถ้ามีแย่งพื้นที่ก็ต้องเจรจาตกลงกันเอง

ด้าน ผู้แทนจาก ธ.ก.ส. กล่าวว่า การจองสิทธิ์ และการใช้สิทธิ์ ซื้อปุ๋ยและชีวภัณฑ์ ผ่านแอปพลิชันของ ธ.ก.ส. มีอยู่ 3 หลักการง่าย ๆ 1.มีสิทธิ์ ต้องขึ้นทะเบียนเกษตรกร 2.มีเงินในบัญชีเงินฝากที่ผูกกับแอปพลิเคชันครึ่งหนึ่งตามโควตาของเกษตรกรแต่ละคน สูงสุดไม่เกิน 1 หมื่นบาท และ  3.ได้สิทธิ์เลือกซื้อปุ๋ยสูตรที่พอใจ โดยเงินอีกครึ่งหนึ่งรัฐบาลจะโอนเข้าบัญชีสหกรณ์ที่มีการสั่งซื้อ

ในวันนั้น ส่วนบริษัทที่เข้าร่วมโครงการสามารถตกลงกับสหกรณ์ได้ว่าจะเบิกจ่ายเงินในรูปแบบใด คาด ธ.ก.ส.จะเปิดแอปพลิเคชันในสัปดาห์หน้า เพื่อให้ทันเปิดโครงการตามมติ ครม. วันที่ 15 กรกฎาคมนี้ (กรมการข้าว ห่วงสหกรณ์การเกษตร ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการไม่ทัน อาจจะขอเลื่อนขยายเวลาเปิดออกไปวันที่ 20 ก.ค.)

เปิดใบสมัคร กรมการข้าวเปิดรับสมัครผู้ประกอบการปุ๋ยและชีวภัณฑ์ 

หน้า 9 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,007 วันที่ 7-10 กรกฎาคม  พ.ศ. 2567