จากข้อมูลกรมประมงพบว่า บริษัทที่ส่งออกปลาหมอคางดำมากเรียงตามลำดับจำนวนส่งออกมากไปน้อย ดังนี้ หจก.ฉาง ซิน เอ็นเตอร์ไพร์ ส่งออก 162,000 ตัว, หจก. ซีฟู้ดส์ อิมปอร์ต-เอ็กซ์ปอร์ต 30,000 ตัว, บจก.นิว วาไรตี้ 29,000 ตัว, บจก. พี.แอนด์.พี อควาเรี่ยม เวิลด์ เทรดดิ้ง 3,638 ตัว, บจก.ไทย เฉียน หวู่ 2,900 ตัว ส่วนอีก 6 บริษัท ประกอบด้วย บจก. แอดวานซ์ อควาติก บจก.เอเชีย อะควาติคส์ บจก.หมีขาว หจก. วี. อควาเรียม บจก.สยามออร์นา เมนทอล ฟิช และ หจก.สมิตรา อแควเรี่ยม มีการส่งออกจำนวน 100-900 ตัว
อย่างไรก็ดี อธิบดีกรมประมง บัญชา สุขแก้ว ให้ข้อมูลกับคณะอนุกรรมาธิการว่า จากการตรวจสอบ บริษัทผู้ส่งออกทั้ง 11 ราย พบว่า ในเอกสารส่งออกระบุว่า ปลาที่ส่งออกมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Sarotherodon melanotheron ชื่อสามัญว่า Blackchin tilapia ชื่อภาษาไทยว่า “ปลาหมอเทศข้างลาย” ซึ่งน่าจะเป็นความผิดพลาดจากการกรอกข้อมูลของเจ้าหน้าที่ชิปปิ้งที่ส่งออก ที่ใส่ชื่อ วิทยาศาสตร์ และชื่อ สามัญ ของปลาหมอเทศข้างลายผิด?
เกิดคำถามตามมาว่า เป็นคำตอบที่ยอมรับได้หรือไม่ ? เจ้าหน้าที่ชิปปิ้งใส่ข้อมูลผิดติดต่อกันทั้ง 11 บริษัท ทุกรอบการส่งออกตลอด 4 ปี โดยที่กรมประมงไม่เอะใจตรวจสอบเลยหรือว่า เป็นปลาต่างถิ่นห้ามเพาะเลี้ยง แต่มียอดส่งออกได้อย่างไร
สอดคล้องกับ นายแพทย์วาโย อัศวรุ่งเรือง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ประธานอนุกรรมธิการพิจารณาศึกษาสาเหตุและแนวทางการแก้ไขปัญหา รวมถึงผลกระทบจากการนำเข้าปลาหมอคางดำ ที่ให้ข้อมูลหลังเข้าตรวจกรมประมงว่า ปมการส่งออกที่แจ้งว่า เป็นความผิดพลาดของเจ้าหน้าที่ชิปปิ้งในการกรอกเอกสารนั้น อาจพอรับฟังได้ แต่ก็เก็บคำถามว่า แล้วทำไมกรมประมง ไม่สงสัย และไม่ตรวจสอบตั้งแต่ปีแรกที่เห็นยอดการส่งออก ปล่อยให้ข้อมูลผิดพลาดได้อย่างไรตลอด 4 ปี
เมื่อย้อนไปในช่วงเวลานั้น อาจยังไม่มีชื่อเรียก ปลาหมอคางดำ ซึ่งสอดคล้องกับ อ.เจษฎ์ - ดร. เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่กล่าวว่า ยุคนั้นทำไมไม่รู้ถึงเรียกปลาหมอคางดำ ว่า ปลาหมอเทศข้างลาย ตั้งแต่ในเอกสารที่ขอนำเข้ามาวิจัยแล้ว (โดนให้แก้จากปลานิลเป็นปลาหมอเทศข้างลาย) ซึ่งเดาว่า ตอนนั้นยังไม่บัญญัติชื่อ ปลาหมอคางดำ
จากข้อมูลทั้งหมดนี้ มีความเป็นไปได้ว่าปลาที่ส่งออก มีโอกาสเป็นปลาหมอคางดำมากกว่า และยิ่งน่าสงสัยว่า หลังจากปี 2561 ที่ กรมประมงประกาศห้ามนำเข้า เพาะเลี้ยง และส่งออกปลาหมอคางดำแล้ว ไม่มีการส่งออกอีกเลย ถ้าปลาเป็นปลาหมอเทศข้างลายจริง ผู้ส่งออกก็น่าจะยังส่งออกได้ ไม่จำเป็นต้องหยุดหลังจากประกาศห้ามเลย สำคัญไปกว่านั้นคือ หลังจากปี 2559 ที่ไม่มีการส่งออกอีก
แล้วปลาสวยงามที่ได้เพาะเลี้ยงไว้ รวมถึงพ่อแม่พันธุ์ปลาที่นำมาเพาะพันธุ์ ผู้ประกอบการมีการจัดการกับปลาเหล่านั้นอย่างไร แล้วปลาทั้งหมดอยู่ที่ไหน เพราะหากการจัดการคือการปล่อยลงแม่น้ำลำคลอง ก็แทบไม่ต้องสงสัยแล้วว่าการแพร่ระบาดของปลาหมอสีคางดำนั้นมาจากไหน และเมื่อดูแหล่งที่อ้างว่าพบการระบาดของปลาก็ยังมีความเป็นไปได้ เพราะแหล่งเพาะเลี้ยงปลาสวยงามที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ อยู่ที่จังหวัดราชบุรี ซึ่งมีแหล่งน้ำที่สามารถเชื่อมต่อมาถึงจังหวัดสมุทรสงครามและสมุทรสาครได้
ข้อมูลการส่งออกปลาหมอคางดำจึงต้องได้รับการตรวจสอบหาความชัดเจน เพื่อให้สิ้นสงสัยมากกว่าจะมาอ้างว่า เจ้าหน้าที่ชิปปิ้งกรอกข้อมูลผิดมาตลอด และผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบควรยอมรับถึงความบกพร่องในระบบการตรวจสอบติดตาม เพื่อวางแนวทางแก้ไขป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาขึ้นอีกในอนาคต
รายงานโดย : วิภาวี บุตรสาร นักวิชาการด้านสัตว์น้ำ