ยอดจดทะเบียนตั้งธุรกิจใหม่ 7 เดือนพุ่ง 5.4 หมื่นราย

29 ส.ค. 2567 | 07:38 น.
อัพเดตล่าสุด :29 ส.ค. 2567 | 07:50 น.

กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เผยสถิติจดทะเบียนตั้งใหม่เดือนกรกฎาคม 67 เพิ่มขึ้น 14% และยอดสะสม 7 เดือนแรกของปี 67จำนวน 54,220 ราย

 นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า สำหรับสถิติการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่เดือนกรกฎาคม 2567 พบว่า มีจำนวน 7,837 ราย เมื่อเทียบกับเดือนกรกฎาคม 2566 เพิ่มขึ้น 989 ราย หรือ 14% และทุนจดทะเบียน 23,704.59 ล้านบาท เมื่อเทียบกับเดือนกรกฎาคม 2566 เพิ่มขึ้น 7,056.38 ล้านบาท หรือ 42%

โดยประเภทธุรกิจที่มีการจัดตั้งใหม่สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป 615 ราย ทุนจดทะเบียน 2,055.87 ล้านบาท, ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 534 ราย ทุนจดทะเบียน 1,608.64 ล้านบาท และธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร 367 ราย ทุนจดทะเบียน 798.51 ล้านบาท

การจัดตั้งธุรกิจใหม่สะสม 7 เดือนแรกของปี 2567 (มกราคม-กรกฎาคม 2567) มีจำนวน 54,220 ราย เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 เพิ่มขึ้น 86 ราย คิดเป็น 0.16% ทุนจดทะเบียน 168,783.20 ล้านบาท ลดลง 276,512.50 ล้านบาท คิดเป็น 62.10% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566  สืบเนื่องมาจากปี 2566 มีทุนจดทะเบียนสูงสุดในประวัติการณ์เพราะมี 2 ธุรกิจที่ทุนจดทะเบียนเกิน 100,000 ล้านบาท ได้ควบรวมและแปรสภาพ

 ทั้งนี้ 7 เดือนแรกมีประเภทธุรกิจที่จดทะเบียนจัดตั้งสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 4,189 ราย ทุนจดทะเบียน 17,621.98 ล้านบาท, ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป 4,136 ราย ทุนจดทะเบียน 9,311.05 ล้านบาท และธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร 2,472 ราย ทุนจดทะเบียน 5,151.41 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 7.73%, 7.63% และ 4.56% จากจำนวนการจัดตั้งธุรกิจตั้งแต่เดือนมกราคม-กรกฎาคมตามลำดับ


ยอดจดทะเบียนตั้งธุรกิจใหม่ 7 เดือนพุ่ง 5.4 หมื่นราย

“การจัดตั้งธุรกิจได้เข้าสู่ไตรมาส 3 ของปี 2567 จะมีทั้งปัจจัยทางเศรษฐกิจทั้งเชิงบวกและมีผลต่อการตัดสินใจลงทุนธุรกิจเกิดขึ้นหลายประการ อาทิ นโยบายด้านการท่องเที่ยวของรัฐบาลที่ผลักดันให้ไทยเป็น Tourism Hub ของโลก เปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าสู่เมืองหลักและเมืองรอง โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจในหลายด้านที่มีความคืบหน้า รวมถึงความเคลื่อนไหวทางการเมืองก็มีส่วนในการกำหนดทิศทางเศรษฐกิจ ล้วนมีผลต่อการจัดตั้งธุรกิจใหม่”

สำหรับการจดทะเบียนเลิกประกอบกิจการเดือนกรกฎาคม 2567 มีจำนวน 1,890 ราย เมื่อเทียบกับเดือนกรกฎาคม 2566 เพิ่มขึ้น 23 ราย คิดเป็น 1.23% และทุนจดทะเบียน 8,831.05 ล้านบาท เมื่อเทียบกับเดือนกรกฎาคม 2566 เพิ่มขึ้น 1,303.13 ล้านบาท คิดเป็น 17.31% ในเดือนนี้มีธุรกิจที่มีทุนจดทะเบียนเลิกเกิน 1,000 ล้านบาท คือ ธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ การจัดการที่ดินเปล่า หรือจัดสรรที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างเพื่อจำหน่าย มูลค่าทุนจดทะเบียนเลิก 1,420.00 ล้านบาท

โดยธุรกิจที่เลิกประกอบกิจการสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป 155 ราย ทุนจดทะเบียนเลิก 677.32 ล้านบาท, ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 127 ราย ทุนจดทะเบียน 2,150.97 ล้านบาท และธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร 62 ราย ทุนจดทะเบียนเลิก 156.13 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 8.20%, 6.72% และ 3.28% จากจำนวนการเลิกประกอบธุรกิจในเดือนกรกฎาคมตามลำดับ

ยอดจดทะเบียนตั้งธุรกิจใหม่ 7 เดือนพุ่ง 5.4 หมื่นราย

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม กล่าวเพิ่มเติมว่า การจดทะเบียนเลิกสะสม 7 เดือนแรกของปี 2567 (มกราคม-กรกฎาคม 2567) มีจำนวน 7,929 ราย เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 ลดลง 1,035 ราย คิดเป็น 11.55% ทุนจดทะเบียนเลิกสะสมอยู่ที่ 85,579.40 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 เพิ่มขึ้น 28,446.77 ล้านบาท คิดเป็น 49.79% ทั้งนี้ มีนิติบุคคลจำนวน 4 ราย ที่มีทุนจดทะเบียนเกิน 1,000 ล้านบาท ได้จดทะเบียนเลิก โดยมีทุนจดทะเบียนรวม 6,004.71 ล้านบาท

และในเดือนพฤษภาคม 2567 มีธุรกิจด้านโทรคมนาคมและการสื่อสาร จำนวน 1 ราย ทุนจดทะเบียนกว่า 48,209.34 ล้านบาท ได้จดทะเบียนเลิกเช่นกัน รวมทุนจดทะเบียนทั้ง 5 รายมีมูลค่ากว่า 54,214.05 ล้านบาท จึงทำให้ตัวเลขทุนจดทะเบียนเลิก 7 เดือนแรกสูงกว่าปกติ เมื่อวิเคราะห์เชิงลึกแล้วหากตัดธุรกิจดังกล่าวออกไป ทุนจดทะเบียนเลิกจะอยู่ที่ 31,365.35 ล้านบาท และพบว่าสัดส่วนการจดเลิกอยู่ที่ 18% ของการจัดตั้งธุรกิจใน  7 เดือนแรก ซึ่งมีความใกล้เคียงกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 ที่มีสัดส่วน 17% ของการจัดตั้งธุรกิจ    

โดย 7 เดือนแรกมีประเภทธุรกิจที่เลิกประกอบกิจการสะสมสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป 758 ราย ทุนจดทะเบียนเลิก 1,886.50 ล้านบาท, ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 467 ราย ทุนจดทะเบียนเลิก 7,014.72 ล้านบาท และธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร 259 ราย ทุนจดทะเบียนเลิก 613.34 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 9.56%, 5.89% และ 3.27% จากจำนวนการเลิกประกอบธุรกิจตั้งแต่เดือนมกราคม-กรกฎาคม ตามลำดับ