เปิดวาระด่วนเอกชน จี้เร่งดำเนินการคู่ 10 นโยบายรัฐ วอนเบรกขึ้นค่าแรง 400 บาท

12 ก.ย. 2567 | 23:00 น.

หอการค้า-สภาอุตฯ ชงวาระภาคเอกชน จี้รัฐเร่งดำเนินการทันที ควบคู่ 10 นโยบายเร่งด่วนรัฐบาล ทั้งหารือจีนคัดกรองคุณภาพสินค้าก่อนส่งมาไทย จัดระเบียบแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างชาติต้องเสียทั้งภาษี VAT และภาษีรายได้จากยอดขาย สร้างเป็นธรรมทางการค้า ขอเบรกขึ้นค่าแรง 400 บาท

รัฐบาล “แพทองธาร ชินวัตร” แถลงนโยบายต่อรัฐสภา (12 ก.ย. 67) ประกาศ 10 นโยบายเร่งด่วนพร้อมทำทันที โดยนโยบายเร่งด่วนด้านเศรษฐกิจ ได้แก่ การผลักดันให้เกิดการปรับโครงสร้างหนี้ทั้งระบบ และช่วยเหลือลูกหนี้ทั้งในระบบและนอกระบบ การดูแลส่งเสริมและปกป้องผลประโยชน์ของ SMEs จากการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมของคู่แข่งทางการค้าต่างชาติ

เร่งออกมาตรการเพื่อลดราคาพลังงานและสาธารณูปโภค, การสร้างรายได้ใหม่ของรัฐด้วยการนำเศรษฐกิจนอกระบบภาษี และเศรษฐกิจใต้ดิน เข้าสู่ระบบภาษี, เร่งส่งเสริมการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ เพิ่มแหล่งท่องเที่ยวที่มนุษย์สร้างขึ้น เช่น สวนน้ำ สวนสนุก ศูนย์การค้า สถานบันเทิงครบวงจร เป็นต้น

นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประทศไทย เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า นโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลในภาพรวมมีความสอดคล้องกับที่ภาคเอกชนอยากเห็นและเคยนำเสนอแล้วในหลายเรื่อง อย่างไรก็ดีคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน(กกร.) ได้เตรียมนำเสนอสมุดปกขาวเพื่อนำเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาและกระตุ้นเศรษฐกิจไทยในระยะสั้นและระยะยาวต่อรัฐบาล คาดจะนำเสนอได้หลังรัฐบาลแถลงนโยบาย

สนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประทศไทย

สำหรับสาระสำคัญของสมุดปกขาวจะมีในหลายประเด็น อาทิ การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ การลดภาระค่าครองชีพประชาชน และต้นทุนของผู้ประกอบการ การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ การช่วยเหลือธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) เป็นต้น อย่างไรก็ตาม นอกจาก 10 นโยบายเร่งด่วนที่รัฐบาลประกาศจะเร่งดำเนินการทันทีแล้ว ในส่วนของหอการค้าฯ มีมุมมองเสริมเพิ่มเติมรัฐบาล เพื่อเร่งฟื้นเศรษฐกิจไทยในระยะสั้น ดังนี้

1.การเร่งเบิกจ่ายงบประมาณปี 2567 ให้กระจายไปทุกภูมิภาค ถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวอย่างเด่นชัด และควรเร่งจัดทำงบประมาณปี 2568 ให้เสร็จสิ้นตามกระบวนการหรือในกรอบระยะเวลาที่กำหนด เพื่อไม่ให้ยืดเยื้อเหมือนในปีที่ผ่านมา

2.เห็นด้วยกับรัฐบาลที่มีความชัดเจนในการแจกเงินกลุ่มเปราะบาง ที่คาดจะแจกได้ทันทีภายในเดือนกันยายน 2567 คาดใช้เม็ดเงินประมาณ 1.45 แสนล้านบาท หอการค้าฯ มองว่าส่วนใหญ่ประชาชนกลุ่มเปราะบางน่าจะใช้เงินทันที และจะมีพฤติกรรมการใช้จ่ายภายในจังหวัดที่อาศัยหรือจังหวัดใกล้เคียงเป็นหลัก ซึ่งสินค้าที่ผลิตในประเทศน่าจะได้รับอานิสงส์มากขึ้น จึงประเมินเบื้องต้นว่าเม็ดเงินดังกล่าวจะช่วยเพิ่ม GDP ได้อีก 0.2-0.3%

3.การแก้ไขปัญหาสินค้าไม่ได้คุณภาพทะลักเข้ามาตีตลาดไทย รัฐบาลไทยต้องหารือกับทางการจีน ในประเด็นการควบคุมมาตรฐานของสินค้า และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับอาหาร โดยเฉพาะมาตรฐานของฝั่งไทย ทั้ง มอก. อย. โดยทางการจีนจะต้องมีส่วนสำคัญในการช่วยคัดกรองสินค้าก่อนที่จะส่งออกมายังประเทศไทย

ขณะเดียวกันสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานที่หลุดลอดมาแล้ว รัฐบาลจำเป็นต้องใช้กฎหมายอย่างจริงจัง มีมาตรการที่บังคับให้แพลตฟอร์มซื้อขายออนไลน์ต่างชาติจำเป็นต้องเสียภาษีทั้ง VAT และภาษีรายได้ (จากยอดขาย ไม่ใช่กำไร) เพื่อทำให้สามารถจัดเก็บรายได้เข้าภาครัฐตามที่ควรจะเป็น

4.การรักษาโมเมนตัมภาคการท่องเที่ยว โดยเฉลี่ยนักท่องเที่ยวเข้ามาเดือนละ 3 ล้านคน ส่วนนี้อยากให้มีการผลักดันและอำนวยความสะดวกนักท่องเที่ยว รวมไปถึงการดูแลความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยว ตลอดจนการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวและบริการ เพื่อให้นักท่องเที่ยวปีนี้เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 36-37 ล้านคน

5.การส่งเสริมเกษตรมูลค่าสูง โดยเฉพาะการส่งเสริมบทบาทของเกษตรรุ่นใหม่ที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับเทคโนโลยีเพื่อต่อยอดและขยายผลไปในแต่ละจังหวัด ขณะเดียวกันรัฐบาลควรเร่งศึกษาโมเดลตัวอย่างเช่น จีน และเนเธอร์แลนด์ ที่ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าเกษตร นำไปสู่การยกระดับรายให้กับเกษตรกร

6.เร่งรัดให้รัฐบาลนำเอา Digital Transformation เข้ามาใช้ในการบริหารจัดการและการบริการของภาครัฐกับประชาชน ซึ่งส่วนนี้จะช่วยอำนวยความสะดวก เกิดความรวดเร็ว และลดต้นทุนให้กับประชาชนและภาคธุรกิจ

“ที่ผ่านมาประเทศไทยมีจีดีพีเติบโตเฉลี่ย 2% ซึ่งต่ำกว่าศักยภาพและไม่ดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ ดังนั้น ในระยะกลางและระยะยาวเป็นโจทย์สำคัญที่รัฐบาลต้องวางกลยุทธ์สำหรับประเทศ เพื่อทำให้จีดีพีของไทยในปีนี้เติบโตได้ 5% ต่อปี” นายสนั่น กล่าว

ด้านนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า 10 นโยบายเร่งด่วนที่รัฐบาลประกาศจะเร่งดำเนินการทันที ถือมีความสอดคล้องกับข้อเสนอขอภาคเอกชนที่เคยนำเสนอไปแล้วก่อนหน้านี้โดยส่วนใหญ่ เช่น การช่วยเหลือเอสเอ็มอีให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนและสภาพคล่อง การปรับโครงสร้างหนี้ การลดต้นทุนด้านพลังงาน การเข้มงวดในการตรวจจับสินค้าที่ไม่มีคุณภาพมาตรฐาน ราคาถูกจากต่างประเทศเข้ามาทุ่มตลาด เป็นต้น

เกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย

อย่างไรก็ดี ส.อ.ท.มีเรื่องเร่งด่วนที่อยากเสนอรัฐบาลคือ ขอให้ชะลอการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 400 บาททั่วประเทศตามที่รัฐบาลชุดก่อนเคยประกาศเอาไว้ก่อน ทั้งนี้ผู้ประกอบการภาคเอกชนยินดีให้ปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ โดยขอให้เป็นไปตามกลไกของอนุกรรมการไตรภาคีระดับจังหวัดที่จะเป็นผู้เสนอให้เหมาะสมกับบริบทของแต่ละพื้นที่ไปก่อน เมื่อรัฐบาลชุดใหม่มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมา และผู้ประกอบการเอสเอ็มอีมีความแข็งแรงแล้วค่อยมาว่ากันอีกที

หน้า 1 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4027 วันที่ 15 – 18 กันยายน พ.ศ. 2567