นางเมลินดา กู๊ด ผู้อำนวยการธนาคารโลกประจำประเทศไทยและประเทศเมียนมา กล่าวในงานสัมมนา Road to Net Zero 2024 The Extraordinary Green จัดโดย ฐานเศรษฐกิจ เกี่ยวกับความเสี่ยงและโอกาสในการเปลี่ยนผ่านไปสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ว่า
ประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายในการบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2593 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2608 โดยมีเป้าหมายในอันใกล้ คือการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 30% ภายในปี 2573
"ด้วยเวลาที่เปลี่ยนผ่านไปอย่างรวดเร็ว การสัมนาพูดคุยถึงเรื่องนี้จึงมีความสำคัญอย่างมาก การบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศจะต้องอาศัยการผสมผสานระหว่างการกำหนดราคาคาร์บอน การสนับสนุนการลงทุน และการปฏิรูปนโยบาย" นางเมลินดากล่าว
ธนาคารโลกได้ประเมินว่าการเปลี่ยนผ่านประเทศไทยไปสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์อาจมีค่าใช้จ่ายสูงถึง 11 ล้านล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังมีโอกาสดึงดูดเม็ดเงินเพื่อความยั่งยืนสูงถึง 6.32 แสนล้านดอลลาร์ (คิดเป็นเงินไทยประมาณ 23 ล้านล้านบาท)
หากสามารถบูรณาการมิติสำคัญต่างๆ เข้าด้วยกันในกระบวนการเปลี่ยนผ่านนี้ และใช้ประโยชน์จากโอกาสที่เกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะช่วยให้ไทยสามารถบรรลุเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมควบคู่ไปกับการสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจได้
นางเมลินดาได้เสนอกรอบการทำงาน 4 ด้านเพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืน ได้แก่
นางเมลินดา ได้ยกตัวอย่างความสำเร็จในการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมระดับโลกในอดีต เช่น การแก้ไขปัญหารูโหว่ในชั้นโอโซนผ่านสนธิสัญญามอนทรีออล ว่าด้วยเรื่องการควบคุมสารทำลายชั้นบรรยากาศโอโซน
ซึ่งนำไปสู่การยกเลิกการใช้สาร CFCs โดยที่ผู้บริโภคยังสามารถใช้ผลิตภัณฑ์ต่างๆ ได้ตามปกติ และที่สำคัญประเทศไทยยังคงเป็นผู้ส่งออกเครื่องทำความเย็นรายใหญ่อันดับสองของโลก
นอกจากนี้ ธนาคารโลกยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืนในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ
โดยการลงทุนเชิงกลยุทธ์ในโครงสร้างพื้นฐานของเมืองสามารถกระตุ้นทั้งการลดคาร์บอนและการปรับตัว และสร้างเมืองที่ยั่งยืน น่าอยู่ และมีความสามารถในการแข่งขันมากขึ้น
การร่วมมือของภาคเอกชนสำหรับการพัฒนาที่เน้นการขนส่งแบบคาร์บอนต่ำอาจสร้างรายได้ 2 พันล้านดอลลาร์ต่อปี (คิดเป็นเงินไทยราว 7.3 หมื่นล้านบาท)
สำหรับโครงสร้างพื้นฐานในเมือง เช่น รถโดยสารไฟฟ้า และสายรถไฟฟ้าใต้ดินเพิ่มเติม ซึ่งจะช่วยลดการปล่อยคาร์บอนจากภาคการขนส่งซึ่งเป็นหนึ่งในแหล่งปล่อยคาร์บอนที่สูงสุดแหล่งหนึ่งในประเทศไทย
การพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืนยังช่วยกระจายความเสี่ยงจากการกระจุกตัวของการเติบโตเฉพาะในกรุงเทพฯ ไปสู่การเติบโตในที่สมดุลและยั่งยืนมากขึ้นทั่วประเทศ
รวมถึงธนาคารโลกยังได้จัดตั้งศูนย์ภูมิภาคสำหรับความรู้และความร่วมมือระดับโลกในประเทศไทย โดยมีแพลตฟอร์มสามด้าน ได้แก่ การเงินที่ยั่งยืน เมืองที่ยั่งยืน และนวัตกรรม เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำด้วยการสนับสนุนทางเทคนิค การเงิน และการวิเคราะห์
นอกจากนี้ ธนาคารโลกกำลังจัดทำรายงานสภาพภูมิอากาศและการพัฒนาประเทศสำหรับประเทศไทย เพื่อจัดทำแบบจำลองและการวิเคราะห์ที่จะช่วยรัฐบาลในการพัฒนานโยบายและส่งเสริมนักลงทุนในการตัดสินใจลงทุนในประเทศไทย
และในอีกสองปีข้างหน้า ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมประจำปีของธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ซึ่งนับว่าจะเป็นโอกาสสำคัญในการแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของประเทศไทย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง