climatecenter

ประชุม COP ยังวุ่น เสียงค้านลั่น ให้เลิกจัดประชุมในถิ่นเชื้อเพลิงฟอสซิล

    สัดส่วนผู้แทนกลุ่มอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิลเข้าร่วม COP29 พุ่ง 1,773 คน มากกว่าตัวแทนประเทศประสบปัญหา 2 เท่า กลุ่มผู้เชี่ยวชาญเรียกร้องให้จัดประชุมเฉพาะในประเทศที่มุ่งมั่นแก้วิกฤติโลกร้อน

ท่ามกลางความท้าทายที่โลกเผชิญจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายโลกร้อนซึ่งรวมถึง บัน คีมูน อดีตเลขาธิการสหประชาชาติ แมรี่ โรบินสัน อดีตประธานาธิบดีไอร์แลนด์ คริสเตียน่า ฟิกูเรส อดีตหัวหน้าผู้แทนเจรจาสภาพภูมิอากาศของสหประชาชาติ และ โยฮัน ร็อคสตรอม นักวิทยาศาสตร์ด้านสภาพภูมิอากาศชั้นนำ ได้ออกจดหมายถึงองค์การสหประชาชาติ (UN) เรียกร้องให้ปรับปรุงการจัดประชุม COP (Conference of the Parties) ที่ปัจจุบันไม่ได้ตอบโจทย์วัตถุประสงค์ที่ควรจะเป็น

ในจดหมายดังกล่าว ผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้เรียกร้องให้ประชุม COP จัดเฉพาะในประเทศที่มีการแสดงออกถึงความมุ่งมั่นในการแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศอย่างชัดเจน พร้อมทั้งกำหนดกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดขึ้นต่อการแทรกแซงจากกลุ่มล้อบบี้ของอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิล

ปีนี้ COP29 จัดขึ้นที่กรุงบากู ประเทศอาเซอร์ไบจาน ซึ่งถือเป็นเจ้าภาพที่สร้างข้อถกเถียง เนื่องจากประเทศนี้เป็นผู้ผลิตเชื้อเพลิงฟอสซิลรายใหญ่ โดยมีการส่งออกน้ำมันและก๊าซธรรมชาติเป็นสัดส่วนสูงของเศรษฐกิจ และในพิธีเปิดประธานาธิบดี อิลฮัม อาลิเยฟ ของอาเซอร์ไบจาน ได้กล่าวว่าเชื้อเพลิงฟอสซิลเป็น “ของขวัญจากพระเจ้า” ทำให้เกิดเสียงวิจารณ์ว่าไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการประชุม

หนึ่งในประเด็นสำคัญที่กลุ่มผู้เชี่ยวชาญกล่าวถึงคือความไม่สมดุลในสัดส่วนของผู้แทนจากกลุ่มอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิลที่เข้าร่วมประชุม COP29 ซึ่งจำนวนถึง 1,773 คน มากกว่าจำนวนผู้แทนจาก 10 ประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากที่สุดถึงสองเท่า

อล กอร์ อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นเช่นกัน โดยกล่าวถึงการแทรกแซงจากกลุ่มอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิลว่าเป็นปัญหาสำคัญและไม่ควรให้ประชุม COP จัดในประเทศที่มีผลประโยชน์ขัดแย้งนี้ นอกจากนี้ ฟิกูเรส หนึ่งในผู้เชี่ยวชาญยังกล่าวว่าจำเป็นต้องมีการปฏิรูป COP เพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงของประเทศกำลังพัฒนาและชุมชนที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากวิกฤตการณ์สภาพภูมิอากาศให้มากขึ้น

นอกห้องประชุม การหารือเรื่องเป้าหมายทางการเงินใหม่เพื่อการปรับตัวให้ทันสภาพภูมิอากาศ ซึ่งเรียกว่า “เป้าหมายทางการเงินใหม่” (NCQG) กำลังถูกหารืออย่างเข้มข้น ท่ามกลางความเห็นที่ยังไม่ลงรอยเกี่ยวกับแหล่งที่มาของเงินทุนจำนวนมหาศาลนี้ ซึ่งคาดว่าประเทศกำลังพัฒนาจะต้องการเงินราว 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐต่อปีภายในปี 2573 เพื่อบรรลุเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกตามความตกลงปารีส

เพื่อสนับสนุนเงินทุนเหล่านี้ คณะทำงานที่นำโดย ลอว์เรนซ์ ทูเบียนา อดีตนักการทูตฝรั่งเศสได้เสนอการเก็บภาษีทางเลือก เช่น ภาษีจากการผลิตพลาสติกจากวัสดุใหม่ หรือการเก็บภาษีที่นั่งเครื่องบินธุรกิจ ซึ่งอาจนำรายได้ปีละหลายพันล้านเหรียญสหรัฐ ทูเบียนากล่าวว่า “หนึ่งในเสาหลักของความตกลงปารีสคือความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันทางการเงินระหว่างประเทศพัฒนาแล้วและประเทศกำลังพัฒนา เพื่อทำให้ทุกประเทศสามารถเพิ่มเป้าหมายในการลดโลกร้อนได้เรื่อยๆ แต่ความเป็นธรรมทางสภาพภูมิอากาศจะเกิดขึ้นไม่ได้หากขาดความเป็นธรรมทางการเงิน”

ในขณะที่การเจรจา COP29 ใกล้จะเสร็จสิ้น ผู้เชี่ยวชาญหลายฝ่ายเห็นพ้องกันว่า การเปลี่ยนแปลงระบบการจัดประชุม COP และการคัดเลือกเจ้าภาพควรมีความโปร่งใสมากขึ้น เพื่อป้องกันการแทรกแซงจากอุตสาหกรรมที่ขัดแย้งกับเป้าหมายของการแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศ