นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทบางจาก และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวเสวนาเรื่อง "Bridging Policy and Practice เชื่อมนโยบายสู่การปฏิบัติ" ในงาน FPO Symposium 2024 "Fiscal GreenPrint พิมพ์เขียว นโยบายการคลังสู่เศรษฐกิจสีเขียว" ว่า
การสนับสนุนให้ลงทุนคาร์บอนต่ำนั้น เป็นการสร้างการแข่งขันภายในประเทศ ซึ่งหากแข่งขันไม่ได้ ปี 2030 จะถูกกีดกันการค้าจากมาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรป หรือ C-BAM
สำหรับการที่เราจะมีคาร์บอนเครดิตนั้นประเทศ ในยุโรปไม่ได้นับรวมด้วย ต้องไปตั้งต้นในประเทศเขาใหม่ ฉะนั้น ในด้านการจัดทำภาษีคาร์บอน จึงมองว่าตราบใดที่ประเทศไทยเป็นประเทศเดียวที่ไปต่อรองกับยุโรป ความสามารถของเราก็สู้เขาไม่ได้ ฉะนั้น จึงอยากผลักดันให้ประเทศไทยร่วมกับอาเซียน เพื่อไปต่อรองกับยุโรป ให้สามารถเสียภาษีคาร์บอนในประเทศและไปหักลบกับยุโรปได้
“เมื่อรวมประชากรในอาเซียนมีกว่า 600 ล้านคน ที่จะไปต่อรองกับยุโรป ซึ่งมีประชากรเพียง 300 ล้านคน รวมทั้งขนาดเศรษฐกิจเราเมื่อรวมกันแล้ว ก็จะสามารถต่อรองสู้กับเขาได้ ซึ่งเราจะมีมาตรฐานที่เป็นที่ยอมรับ แล้วจะไม่เสียภาษีซ้ำซ้อนด้วย”
ทั้งนี้ มองว่าองค์กรใหญ่ๆ หลายแห่ง สิ่งที่จะต้องดำเนินการเพื่อปูพื้นสำหรับการรับมือกับเศรษฐกิจสีเขียว คือ การทำบัญชีคาร์บอน โดยบางจากเริ่มทำตั้งแต่ปี 2011 กระทั่งมีมาตรฐาน ISO 14064 ในปี 2019 สามารถวัดได้ว่าใน 1 ปี องค์กรปล่อยคาร์บอนได้กี่ตัน จะทำให้ธุรกิจมีเป้าหมาย และหาวิธีว่าจะลดคาร์บอนได้อย่างไร
“ขอยกตัวอย่าง บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCG มีการผลิตปูนซีเมนต์โดยใช้พลังงานหมุนเวียนส่วนใหญ่ โดยเขาสามารถเคลมได้ว่าเป็นซีเมนต์ที่ปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ ฉะนั้น จึงสามารถกล่าวได้ว่า มาตรการรัฐในการสนับสนุนทางด้านภาษี เป็นการเตรียมให้เอกชนมีโอกาสเตรียมตัวก่อน สามารถสู้กับประเทศที่รวยแล้วได้”
ขณะที่วิธีการปรับปรุงองค์กร เพื่อไปสู่ เน็ตซีโร่ 2050 คือ ทุกคนจะต้องปรับปรุงประสิทธิภาพในการผลิต การใช้พลังงานจะต้องลดคาร์บอน 30-40% ซึ่งจะเป็นต้นทุนที่ต่ำที่สุดในการลดคาร์บอนฟุตพรินต์ เช่น การลดความเย็นของแอร์ โดยสามารถทำได้จริง หากลดต้นทุนที่ไม่จำเป็น จะสามารถลดคาร์บอนฟุตพรินต์ได้จำนวนมาก
ข่าวที่เกี่ยวข้อง