สงครามการค้าระหว่าง "สหรัฐอเมริกา" และ "จีน" กำลังทวีความรุนแรงขึ้นอีกระดับ หลังจากประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนหลายรายการเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคมที่ผ่านมา ครอบคลุมสินค้ายุทธศาสตร์สำคัญ มูลค่ารวมกว่า 1.8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
ภายใต้มาตรการใหม่นี้ ภาษีรถยนต์ไฟฟ้า (EV) นำเข้าจากจีนจะพุ่งสูงขึ้นถึง 4 เท่า จากเดิม 25% เป็น 100% ส่วนเซมิคอนดักเตอร์ก็ต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าจาก 25% เป็น 50% เช่นเดียวกับเซลล์แสงอาทิตย์และสินค้าเกี่ยวกับโลหะบางชนิด ซึ่งถือเป็นการขยายวงกว้างของมาตรการกีดกันการค้ากับสินค้าจีน
แม้ในปัจจุบันจะมีรถยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตในจีนจำหน่ายในสหรัฐฯ เพียงจำนวนน้อย แต่การขึ้นภาษีครั้งนี้อาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกรถยนต์ไฟฟ้าของจีนที่เติบโตอย่างรวดเร็ว โดยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาการส่งออกรถไฟฟ้าของจีนเพิ่มขึ้นถึง 50% ด้วยราคาที่ต่ำกว่ารถอเมริกันมาก
ผู้ผลิตรถยนต์เตือนว่า หากไม่สามารถเข้าถึงแบตเตอรี่และวัสดุราคาถูกจากจีน ซึ่งมีส่วนประกอบจากจีนอยู่ระหว่าง 30-51% รถยนต์ไฟฟ้าจะมีราคาแพงเกินไปสำหรับผู้บริโภคทั่วไปในสหรัฐอเมริกา ซึ่งจะเป็นอุปสรรคต่อการขยายการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ขณะที่นักวิเคราะห์บางคนเชื่อว่า ภาษีที่สูงขึ้นจะช่วยให้ผู้ผลิตรถยนต์ในสหรัฐฯ มีเวลาประมาณ 5-7 ปี ในการพัฒนาห่วงโซ่อุปทานของตนเอง แต่ผู้สนับสนุนสิ่งแวดล้อมเตือนว่ามาตรการนี้อาจชะลอความก้าวหน้าในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
สงครามการค้าที่ครอบคลุมไปถึงเทคโนโลยีสะอาดอย่างรถยนต์ไฟฟ้านี้สะท้อนให้เห็นถึงการแข่งขันระหว่างสหรัฐฯ และจีนเพื่อแย่งชิงความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมของอนาคต แม้จะเสี่ยงต่อเส้นทางความร่วมมือระดับโลกในการรับมือกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศ
ในปี 2021 ผู้ผลิตรถยนต์ในสหรัฐฯ ส่งออกรถยนต์ไปยังจีน 155,337 คัน มูลค่า 6.3 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่จีนส่งออกรถยนต์เพียง 64,067 คันมูลค่า 1.45 พันล้านดอลลาร์ไปยังสหรัฐฯ โดยรถยนต์นำเข้าจากจีนส่วนใหญ่จำหน่ายภายใต้แบรนด์ของสหรัฐฯ เช่น Ford Lincoln, Buick Envision, Polestar และ Volvo
ด้านบริษัทจีน BYD วางแผนที่จะสร้างโรงงานผลิตรถกระบะไฟฟ้าในเม็กซิโก ซึ่งจะเป็นคู่แข่งโดยตรงกับผู้ผลิตในสหรัฐฯ เนื่องจากรถยนต์ที่ผลิตในเม็กซิโกสามารถเข้าสู่ตลาดสหรัฐฯ ได้โดยปลอดภาษี
การใช้มาตรการตอบโต้ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนอาจนำไปสู่สงครามกีดกันทางการค้าที่รุนแรงขึ้น ซึ่งจะทำให้ราคารถยนต์ไฟฟ้าสูงขึ้นและชะลอความพยายามในการลดการปล่อยมลพิษ
ท้ายที่สุด ผู้เชี่ยวชาญบางคนเตือนว่า การปกป้องผู้ผลิตรถยนต์ในประเทศมากเกินไปอาจนำไปสู่ความเฉื่อยชาและขาดแรงจูงใจในการพัฒนานวัตกรรม เช่นเดียวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตเมื่อมีการป้องกันการนำเข้ารถยนต์จากญี่ปุ่นในช่วงทศวรรษ 1970 และ 1980
สงครามการค้าครั้งนี้เป็นความท้าทายที่ต้องหาจุดสมดุลระหว่างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม การร่วมมือระหว่างประเทศจะเป็นกุญแจสำคัญในการผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนผ่านสู่ยานยนต์ไฟฟ้าอย่างรวดเร็วและเป็นธรรม
อ้างอิง:
ข่าวที่เกี่ยวข้อง