ถ้อยคำแถลงของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เมื่อค่ำวันที่ 21 ตุลาคม 2563 ที่ผ่านมา ถึงท่าทีและการร่วมหาทางออกให้กับประเทศ ต่อการชุมนุมของกลุ่มราษฎร 2563 มีตอนหนึ่งกล่าวถึงเหตุการณ์ใช้ความรุนแรง ที่กลุ่มผู้ชุมนุมใช้คีมเหล็กขนาดใหญ่ ทำร้ายเจ้าหน้าที่และมีพฤติกรรมรุนแรงอีกหลากอย่าง ซึ่งนายกรัฐมนตรี เห็นว่า ประเทศไม่สามารถได้มาซึ่งสังคมแบบที่เราต้องการได้ด้วยการใช้คีมเหล็กขนาดใหญ่ตีใส่กัน หรือด้วยการทำลายเศรษฐกิจ การหาเลี้ยงปากท้องของคนไทยด้วยกัน
ในมุมมองดังกล่าวนี้ นายกรัฐมนตรี หรือหลายๆ ฝ่ายเอง คงไม่อยากให้การใช้ความรุนแรงเกิดขึ้นทั้ง 2 ฝ่าย ไม่ว่าจะมาจากกลุ่มผู้ชุมนุมหรือจากรัฐบาล เพราะเวลานี้การออกมาชุมนุมเริ่มมีสัญญาณความรุนแรงเกิดขึ้น มีการแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย ทั้งฝ่ายสนับสนุนและฝ่ายไม่เห็นด้วย สร้างความเกลียดชังขึ้นในสังคม ภาคธุรกิจต่างๆ ขาดความเชื่อมั่นในเสถียรภาพของรัฐบาล นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศขาดความเชื่อมั่นที่จะลงทุน
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ หากทวีความรุนแรงเกิดขึ้น และยังยืดเยื้อ หลายฝ่ายออกมายอมรับว่า จะเป็นปัจจัยสำคัญฉุดวิกฤติเศรษฐกิจของประเทศ ซ้ำเติมจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ขึ้นไปอีก
ในขณะที่รัฐบาลเอง พยายามจะแก้ปัญหาเศรษฐกิจ จากการอัดฉีดเม็ดเงินลงไปในโครงการต่างๆ หวังจะให้การขับเคลื่อนเศรษฐกิจเดินต่อไปได้ โดยเฉพาะการฟื้นฟูภาคการท่องเที่ยว ซึ่งถือเป็นรายได้หลักของประเทศ พยายามปลดล็อกรับนักท่องเที่ยวต่างชาติให้เข้ามาในประเทศได้
เห็นได้จากการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติแบบจำกัดภายใต้วีซ่าพิเศษ (Special Tourist Visa) หรือสเปเชี่ยล ทัวริสต์ วีซ่า ที่อนุญาตให้เดินทางเข้ามายังประเทศและพำนักในระยะยาว (Long Stay) เป็นเวลา 90 วัน ถือเป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มพรีเมี่ยมที่มีกำลังซื้อสูง ที่จะมาช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวตลอดจนธุรกิจที่เกี่ยวข้อง
เที่ยวบินแรกเดินทางจากนครเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน เข้ามาแล้ว 39 คน เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม ที่ผ่านมา และมีการแจ้งว่าในวันที่ 26 ตุลาคม จะมีกลุ่มนักท่อเที่ยวจากนครกว่างโจว ประมาณ 100 คน เดินทางเข้ามา และในวันที่ 28 ตุลาคม จะมีมาจากเซี่ยงไฮ้อีกกว่า 120 คน
ดังนั้น คงต้องจับตาดูว่ากลุ่มนักท่องเที่ยวดังกล่าว ที่จะเข้ามาในช่วงสัปดาห์นี้ จะยังคงเดินทางมาไทยหรือไม่ หากมีการยกเลิก ก็หมายความว่า นักท่องเที่ยวกลุ่มดังกล่าวมีความกังวลต่อสถานการณ์ชุมนุมที่จะบานปลาย
นอกจากนี้ ไม่เพียงกระทบต่อภาคการท่องเที่ยวแล้ว การขับเคลื่อนเศรษฐกิจตามโครงการต่างๆ อาจจะไม่เป็นไปตามที่รัฐบาลคาดหวังไว้ที่จะให้เกิดเงินหมุนเวียนในระบบ เพราะประชาชนคงไม่มีกระจิตกระใจที่จะไปท่องเที่ยว หรือจะไปจับจ่ายใช้สอย ตามโครงการช้อปดีมีคืน เพราะไม่รู้ว่าเหตุการณ์ทางการเมือง จะเป็นเช่นไร สู้เก็บเงินไว้ในกระเป๋าจะดีกว่า
สิ่งที่ทุกคนคาดหวัง เวลานี้ต้องการให้บ้านเมืองสงบ ไม่มีความขัดแย้ง ความรุนแรงเกิดขึ้น และช่วยกันเดินหน้าแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่เผชิญอยู่ในเวลานี้ ผ่านไปได้ด้วยดี เพราะเวลานี้เริ่มเห็นแนวโน้มวิกฤติเศรษฐกิจที่รุนแรงมากขึ้นกว่าที่มีการคาดการณ์ไว้แล้ว