ติดตามดูภาพข่าวการชุมนุมของ "กลุ่มเยาวชนปลดแอก" และ "กลุ่ม REDEM" จำนวนประมาณ 300 คน ที่จัดการชุมนุมและแสดงกิจกรรมทางการเมือง โดยเริ่มรวมพลกันที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ และเคลื่อนขบวนมาชุมนุมกันที่บริเวณหน้าสำนักงานศาลยุติธรรมและศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก เมื่อช่วงบ่ายๆ ถึงค่ำของวันอาทิตย์ที่ 2 พฤษภาคม 2564 บอกตรงๆ ครับ เห็นแล้วได้แต่เศร้าสลดใจผสมกับความสมเพทเวทนา กับพฤติการณ์สามานย์ ของคนคิดและออกแแบบการชุมนุมที่เกิดขึ้น เพราะไม่มีเหตุผลอันสมควรในการชุมนุมแต่อย่างใด และแทบไม่น่าเชื่อว่าคนที่อ้างตนเป็นคนรุ่นใหม่ จะทำอะไรได้สามานย์ถึงเพียงนี้ และก็คิดไม่ถึงว่าประเทศไทย จะมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น
พวกเขามาชุมนุม ด้วยข้ออ้างและเหตุผลเพียงเพื่อจะกดดันศาลให้ทำตามความต้องการของพวกตน คือต้องสั่งให้ประกันตัวเพื่อนๆ ของตนที่ต้องหาว่ากระทำผิดกฎหมายอาญาร้ายแรง โดยมิได้มีความเคารพต่อศาลและยำเกรงต่อกฎหมายบ้านเมืองแม้แต่น้อย และก็ไม่มีทางที่ศาลจะไปทำตามม็อบที่บ้าคลั่ง พวกเขาปากก็อ้างประชาธิปไตย แต่การกระทำกลับใช้อำนาจนอกระบบที่ไม่เกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรมและกฎหมาย มากดดันบีบบังคับ ข่มขู่ศาล ด้วยความคิดอันโง่เขลาที่ประชาชนทั้งหลายมิอาจยอมรับการกระทำนั้นได้ เพราะไม่ว่าฟ้าจะถล่มดินจะทลาย ศาลก็ต้องทำหน้าที่ด้วยความยุติธรรม โดยไม่ตกอยู่ภายใต้อำนาจความกลัว หรือ การแทรกแซงจากอำนาจอื่นใด จนขาดความเป็นอิสระของตุลาการ
ผู้เขียนมีความเชื่อมั่นศรัทธาต่อระบอบประชาธิปไตย ใฝ่ฝันและอยากเห็นการปกครองบ้านเมือง เป็นไปตามวิถีประชาธิปไตยมากยิ่งกว่าระบอบเผด็จการเช่นกันครับ เห็นคนรุ่นใหม่สนใจปัญหาบ้านเมือง และกล้าออกมาต่อสู้เรียกร้องความเป็นประชาธิปไตย ต้องการเห็นอนาคตที่ดีของบ้านเมือง ก็ได้แต่แอบชื่นชมและอยากให้กำลังใจ เอาใจช่วยให้พวกเขาทำสิ่งดีๆ ให้กับบ้านเมืองสำเร็จ เพื่อคนรุ่นเก่าๆ จะได้ฝากอนาคตของบ้านเมือง ไว้กับคนรุ่นใหม่ที่จะก้าวมาสืบทอด ดูแลพัฒนาบ้านเมืองให้ก้าวหน้าต่อไป
แต่เมื่อเห็นการแสดงออกทางความคิด การชุมนุมและการจัดกิจกรรมของพวกเขา ที่หน้าศาลอาญาอันมีพฤติกรรมออกไปในทางถ่อย เถื่อน ต่ำทรามและสามานย์สุดๆแล้ว คงเป็นอันจบสิ้นความหวัง ความศรัทธาใดๆ ที่จะมีให้ เพราะกิจกรรมทั้งหมดที่พวกเขาจัดขึ้น และการชุมนุมหลายครั้ง ไม่มีอะไรที่แสดงออกของความเป็นผู้มีปัญญา ไม่มีอะไรที่แสดงออกถึงวิถีของคนในระบอบประชาธิปไตยเลยแม้แต่น้อย และมิใช่เป็นการใช้สิทธิ เสรีภาพ หรือการชุมนุมทางการเมืองโดยสงบ ปราศจากอาวุธ และการแสดงความคิดเห็น การพูด การปราศรัย ภายใต้รัฐธรรมนูญแต่อย่างใด พฤติกรรมของพวกเขาล้วนเป็นการกระทำผิดต่อกฎหมาย และเป็นการละเมิดต่อสิทธิ เสรีภาพ ของผู้อื่นล้วนๆ ไม่มีอะไรบ่งบอกถึงถึงการแสดงออกในทางประชาธิปไตย
ความสามานย์ที่สุดก็คือ การชุมนุมที่หน้าสำนักงานศาลยุติธรรมและศาลอาญา ด้วยการจัดกิจกรรมปาไข่ มะเขือเทศ และสาดสี ใส่ป้ายที่ทำการสำนักงานศาลยุติธรรมและศาลอาญา ต่อหน้าพระบรมรูปในหลวงรัชกาลที่ 10 ซึ่งอาจมีไข่ มะเขือเทศ และสี ที่พวกเขาขว้างปาเข้าใส่ พลอยโดนภาพพระบรมรูปไปด้วย
และที่คาดไม่ถึง ไม่น่าเชื่อว่าผู้ชุมนุมจะคิดกิจกรรมอะไรได้ถ่อย สามานย์ต่ำช้าได้ถึงใจก็คือ การนำภาพท่านรองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา และคนในครอบครัวของท่านที่มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ มาปิดไว้ที่ป้ายหน้าศาล เพื่อการปาใข่ มะเขือเทศ และสาดสีใส่ ด้วยการด่าทอและประณามด้วยถ้อยคำหยาบคาย พาดพิงไปถึงคนในครอบครัวของท่านอีกด้วย โดยอ้างเหตุว่าท่านเป็นผู้มีคำสั่งไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว หรือให้ประกันตัวพวกพ้องของตนเองที่ต้องหาคดีและถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำ ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ไม่เคยมีการชุมนุมทางการเมืองใดๆ ในอดีต กล้าที่จะกระทำเยี่ยงนี้มาก่อน
ทั้งๆ ที่มีช่องทางและกระบวนการตามกฎหมายให้ต่อสู้ เพื่อยื่นคำร้องขอประกันตัวเข้ามาใหม่ได้ หรืออุทธรณ์คัดค้านคำสั่งได้ตามกฎหมาย หรือมีช่องทางอื่นตามหลักเกณฑ์ของกฎหมายให้กระทำได้ เหมือนเช่นผู้ต้องหาคนอื่นๆ ในหมู่พวกตน เคยได้กระทำและได้รับความเมตตาจากศาลให้ได้รับการประกันตัว แต่พวกเขากลับไม่เลือก ทั้งยังแสดงตนอวดดีปฏิเสธกระบวนการยุติธรรม และเลือกวิธีที่ถ่อยเถื่อนสามานย์และผิดกฎหมาย กระทั่งปล่อยข่าวสร้างหลักฐานเท็จ แสดงดราม่าตบตาศาลว่าผู้ถูกคุมขังป่วย ใกล้ตาย ถ่ายเป็นก้อนเนื้อ อ้างเหตุเลอะเทอะ ไม่อยู่ในหลักเกณฑ์การพิจารณาตามกฎหมาย หรือเป็นเหตุที่ศาลจะพิจารณาอนุญาตให้ได้ แล้วแบบนี้ศาลยุติธรรมที่ไหนจะให้ประกันตัว พฤติกรรมของผู้ถูกคุมขังกับพวกเช่นนี้ กรณียิ่งเป็นเหตุอันสมควรที่ศาลจะไม่อนุญาตให้ประกันตัว
การชุมนุมที่ได้เกิดเหตุวุ่นวาย มีการขว้างปาสิ่งของเข้าไปในบริเวณศาล ใช้หนังสติ๊กยิงลูกน็อต จุดพลุระเบิด ใช้ท่อนไม้ ก้อนหิน และสารพัดวัตถุอันตราย ระดมยิง ขว้างปาใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจ และอาคารศาลอาญา แม้เจ้าหน้าที่จะสั่งให้หยุดและยุติการชุมนุม กลุ่มผู้ชุมนุมก็ไม่เชื่อฟังและมิได้สนใจ การชุมนุมได้กลายเป็นเหตุจลาจลวุ่นวาย โดยไม่มีแกนนำการชุมนุมออกมาควบคุม ห้ามปรามหรือรับผิดชอบแต่อย่างใด
และก่อนที่จะเกิดเหตุเช่นนี้ เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2564 พวกผู้ต้องหา มวลชนกลุ่ม "แนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม" ม็อบราษฎรประมาณ300 คน ก็เคยบุกเข้าไปชุมนุมภายในบริเวณหน้าอาคารศาลอาญา ใช้เครื่องขยายเสียงกล่าวปราศรัย ตะโกนโจมตีใส่ร้าย ด่าทอ ต่อการทำหน้าที่ของผู้พิพากษา เรียกร้องให้ "ปล่อยเพื่อนเรา" ซึ่งก็หมายถึงพวกเดียวกับผู้ชุมนุมที่ถูกคุมขังตามอำนาจศาล อันเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล ละเมิดอำนาจศาลและผิดต่อกฎหมายอาญาอีกหลายกระทง
แกนนำ 3 คนคือ นายชินวัตร จันทร์กระจ่าง, นายณัฐนนท์ ไพโรจน์, น.ส.เบนจา อะปัญ ก็ถูกดำเนินคดีโดยศาลนัดไต่สวนเรื่องละเมิดอำนาจศาลในวันที่ 19 พฤษภาคมนี้ แต่ผู้ชุมนุมพวกของผู้ต้องขังก็ยังบังอาจมาก่อเหตุการชุมนุมที่ผิดกฎหมายในบริเวณศาลอาญาขึ้นมาซ้ำอีก โดยมิได้เกรงกลัวและเคารพต่อกฎหมายบ้านเมือง
พฤติการณ์ของเยาวชนและกลุ่มผู้ชุมนุมเช่นนี้ จึงมิอาจอ้างรัฐธรรมนูญ มาตรา 34 และ มาตรา 44 เพื่อคุ้มครองการกระทำของตน เพราะมิได้เป็นการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ หรือเป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต ติชมด้วยความเป็นธรรม เพื่อรักษาประโยชน์ของประชาชนแต่อย่างใด เป็นการกระทำที่เป็นการข่มขู่คุกคาม การทำหน้าที่ของผู้พิพากษา และละเมิดต่อกฎหมาย เพื่อประโยชน์ของจำเลยผู้กระทำความผิดและถูกฟ้องต่อศาลเท่านั้น
พฤติการณ์อันสามานย์ของผู้ชุมนุม ในลักษณะของพวกอนาธิปไตย เช่นนี้ จึงมิใช่วิถีของการชุมนุมทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย ตามรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกระทำ อันเป็นการละเมิด และท้าทายอำนาจศาล ทำลายกระบวนการยุติธรรมของประเทศ ย่อมเท่ากับเป็นการทำลายเสาค้ำยันสังคมไทยนั่นเอง ทั้งส่อเจตนาเพื่อตีกระทบถึงการทำหน้าที่ในพระปรมาภิไธยของบรรดาตุลาการ ให้เสื่อมความเคารพเชื่อถือต่อประชาชน
เช่นนี้แล้วสังคมไทยจะอยู่กันอย่างไร รัฐบาลและเจ้าหน้าที่รัฐผู้มีอำนาจหน้าที่ดำเนินการกับผู้กระทำผิดตามกฎหมาย จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องดำเนินการกับผู้กระทำผิดกฎหมายเหล่านั้นโดยเด็ดขาด เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างที่เลวต่อสังคมต่อไป