รศ.ดร.สมภพ มานะรังสรรค์ อธิการบดี สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ วิเคราะห์สถานการณ์เศรษฐกิจโลก-เศรษฐกิจไทยผ่าน “ฐานเศรษฐกิจ” อย่างน่าสนใจและต้องติดตาม
อธิการบดี สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ ประเมินภาพรวมเศรษฐกิจโลกปี 2565 ว่า เศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวลงกว่าปี 2564 โดยจีดีพีโลกจะลดลงเหลือ 4% เศษเทียบกับปี 2564 ที่จีดีพีโลกใกล้แตะ 6% โดยประเมินว่าปี 2565 จะมีหลายตัวแปรที่ผันผวน เช่น เกิดการแปรเปลี่ยนนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่เข้มงวดขึ้นเช่น การลดมาตรการ QE (การผ่อนคลายเชิงปริมาณ) อย่างรวดเร็ว เคยใช้เงินซื้อพันธบัตรจะลดลง และจะหมดลงเร็วไม่เกินครึ่งปีแรกปี 2565 และหลังจากนั้นจะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย เพราะเฟดต้องการคุมอัตราเงินเฟ้อ และที่น่าเป็นห่วงมากคือตอนนี้ทั่วโลกเกิดภาวะเงินเฟ้อแล้ว และประเทศที่เกิดภาวะเงินเฟ้อมากเป็นพิเศษคือประเทศที่ใช้มาตรการ QE เยอะ ๆ
“คิดว่าปี 2565 นี้ เศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวมากกว่าปี 2564 แน่นอน ตลาดเงินตลาดทุนก็จะปั่นป่วนมากขึ้น เพราะแต่ละประเทศต่างมีแรงกดดันจากภาวะเงินเฟ้อทั่วหน้า”
ดังนั้นตลาดเงินตลาดทุน ตลาดอะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับการเก็งกำไรทั้งหลายจะปั่นป่วน ก็จะทำให้อัตราแลกเปลี่ยนปั่นป่วนไปด้วย
นอกจากนี้สิ่งที่ต้องจับตาปี 2565 คือปัญหาทางการเมืองในประเทศ ที่มีการเลือกตั้ง มีการต่อสู้ และพรรคคอมมิวนิสต์จีนมีการเปลี่ยนแปลงตัวผู้นำพรรค และการเปลี่ยนตัวรัฐบาลด้วย เป็นต้น อีกทั้งยังต้องติดตามการเมืองในชาติมหาอำนาจด้วยกันว่าจะมีท่าทีอย่างไร เหล่านี้ล้วนมีผลต่อเศรษฐกิจโลก แต่หากความสัมพันธ์ระหว่างจีน-สหรัฐฯดีขึ้นจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโลกด้วย เช่น การประกาศยุติสงครามการค้า โดยเลิกขึ้นภาษีสินค้าระหว่างกัน ซึ่งปัจจุบันจีนส่งสินค้าไปสหรัฐฯยังเก็บภาษีอยู่ 25% โดยเฉลี่ย หากมีการลดภาษีเหล่านี้ลงจะทำให้การค้าโลกเริ่มดีขึ้นด้วย รวมถึงเศรษฐกิจไทยก็จะได้อานิสงส์ด้วย
รศ.ดร.สมภพ มองโลกแล้วมองย้อนกลับมาที่ประเทศไทยด้วยว่า เศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวขยับตัวได้ตามอัตภาพ การส่งออกก็ยังขยับไปได้ต่อเนื่องในปี 2565 แต่การส่งออกจะเป็นอัศวินม้าขาวที่ตัวเล็กลง ดังนั้นเราจำเป็นต้องเสริมโดยกอบกู้ภาคบริการ ทั้งในประเทศและที่มาจากนอกประเทศ เช่น การท่องเที่ยวจากต่างประเทศ ซึ่งในส่วนนี้ยังหวังได้ยาก ขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพการคุมเข้มการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ฉะนั้นจำเป็นต้องเร่งกอบกู้ภาคบริการภายในประเทศ เช่น ต้องกระตุ้นให้ภาคค้าปลีกเติบโต ปลุกท่องเที่ยวภายในประเทศ ส่งเสริมการทานอาหารนอกบ้านมากขึ้นภายใต้ข้อควรระวังด้านโควิดและต้องฉีดวัคซีนอย่างครอบคลุม กระตุ้นด้านการกีฬา ธุรกิจบันเทิง ธุรกิจที่เกี่ยวกับสุขภาพ สปา นวด ออกกำลังกาย และเศรษฐกิจ ธุรกิจดิจิทัลต้องส่งเสริมอย่างจริงจัง
สำหรับประเทศไทย กำลังซื้อจะขึ้นอยู่กับ 2 ส่วนหลัก คือ 1.ต้องปลุกภาคบริการ เนื่องจากเป็นสัดส่วนมากถึง 50% ของจีดีพี 2.ต้องบริหารจัดการด้านแรงงาน เพราะสิ่งที่ปรากฏในขณะนี้คือ มีทั้งเผชิญปัญหาขาดแคลนแรงงานและปัญหาคนว่างงานเกิดขึ้นพร้อมกัน หากสามารถบริหารจัดการ 2 ส่วนนี้ได้ ก็จะมีส่วนช่วยกอบกู้ภาคอสังหาริมทรัพย์ด้วย เพราะคนจะมีกำลังซื้อมากขึ้น สถาบันการเงินก็ยินดีปล่อยกู้ซื้อบ้านมากขึ้น และปี 2565 หากจีดีพีไทยขยายตัวได้ 3-4% ขึ้นไปก็ถือว่าใช้ได้
ส่วนกรณีที่มีการมองกันว่าเศรษฐกิจจีนฟื้นตัวดีขึ้น ไทยจะได้รับอานิสงส์ด้านใดบ้างนั้น มองว่าทิศทางต่อไปหากเศรษฐกิจจีนดี ทั้งไทยและอาเซียนจะได้รับอานิสงส์มากขึ้น ทั้งด้านการค้าและการลงทุน ทั้งนี้ขึ้นอยู่ที่การควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ด้วย โดยมองว่าโอกาสทางการค้าไทย-จีนจะขยายตัวมากขึ้น จากเวลานี้จีนมีอาเซียนเป็นคู่ค้าอันดับหนึ่ง จากเดิมที่จีนมีสหรัฐฯ เป็นคู่ค้าอันดับหนึ่งสลับกับยุโรป ส่วนการค้ากับอาเซียนอยู่อันดับ 3
“ตอนนี้ไทยเองก็มีจีนเป็นคู่ค้าอันดับหนึ่ง โดยไทยส่งออกไปจีนมากที่สุด เช่นเดียวกับการลงทุน ที่จีนจะเข้ามาลงทุนในไทยและในอาเซียนมากขึ้น”
ที่สำคัญตอนนี้มีรถไฟจีนเชื่อม สปป.ลาว จะมีการขนสินค้าไปขายในจังหวัดอุดรธานี หนองคายมากขึ้น และรถไฟสายนี้จะมีผลมากในการปลุกเศรษฐกิจในภาคอีสาน เช่นเดียวกับปลุกการลงทุนในพื้นที่จะเพิ่มมากขึ้น อสังหาฯในภาคอีสานก็จะเพื่องฟู (ปัจจุบันต่างชาติครอบครองอสังหาได้ 49%) รวมถึงความคึกคักด้านท่องเที่ยวก็จะตามมาด้วย
สำหรับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจจีนจะขยับตัวได้เร็วกว่าสหรัฐฯ เนื่องจากจีนสามารถเดินนโยบายด้านการเงินได้ง่ายและเร็วกว่าสหรัฐฯ จะเห็นว่าเมื่อเร็วๆ นี้ จีนให้ธนาคารพาณิชย์ลดการถือเงินสดสำรอง (RRR) โดยธนาคารกลางจีนประกาศปรับลดการถือเงินสดสำรอง (Reserve Requirement Ratio หรือ RRR)ตามกฎหมายในอัตรา 0.5%
“ขณะที่อเมริกาจะทำทันทีแบบจีนไม่ได้เพราะอเมริกาเกิดภาวะเงินเฟ้อขยายตัวสูงมาก ขณะที่จีนมีอัตราเงินเฟ้อต่ำกว่าอเมริกามาก โดยเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมาจีนมีอัตราเงินเฟ้อเพียง 1.5% ขณะที่อเมริกามีอัตราเงินเฟ้อสูงถึง 6.2%”
ทั้งหมดเป็นสถานการณ์ที่ทั่วโลกต้องจับตามอง เพราะทุกด้านเชื่อมโยงถึงกันหมด
หน้า 9 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3739 วันที่ 12-15 ธันวาคม 2564