ทั้งนี้คลื่นการลงทุนเทเม็ดเงินลงเวียดนามต่อเนื่องโดยเฉพาะลงทุนในอุตสาหกรรมไฮเทค วันนี้สถานะของเวียดนามประชิดแค่หายใจรดต้นคอไทยชัดเจน “ฐานเศรษฐกิจ”สัมภาษณ์พิเ ศษ นายทวิช เตชะนาวากุล ประธานกรรมการบริหารบริษัท กลุ่มนิคมอุตสาหกรรมไฮเทค ผู้พัฒนาที่ดินเพื่อตั้งโรงงานอุตสาหกรรมมายาวนานในยุคเศรษฐกิจไทยบูมสุดขีด ฉายภาพความกังวลถึงสถานะไทยนับจากนี้
นายทวิชมองว่า หากมองย้อนไป 1-2 ปี เกิดวิกฤติโควิด-19 แพร่ระบาดใหม่ ๆ เกิดความไม่แน่นอนในทุกๆด้าน ประเทศต่าง ๆ ก็พยายามเยียวยาทั้งจากภาครัฐและเอกชนโดยการอัดฉีดเงินเข้าระบบเศรษฐกิจด้วยรูปแบบต่างๆ ดังนั้นเงินจะสะพัดไปทั่วโลก พอกระแสเงินมากดอกเบี้ยต่ำ จะเห็นว่าตลาดหุ้นอเมริกาทำนิวไฮไปเรื่อย ๆ ดังนั้น 1-2 ปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจโลกเติบโตแบบผิดปกติในประเทศที่พัฒนาแล้วเศรษฐกิจเติบโต 4-6% ซึ่งควรเป็นอัตราการเติบโตของประเทศที่กำลังพัฒนา
อย่างไรก็ตามเมื่อเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง หลายประเทศพยายามต่อสู้กับโควิด-19 ขณะนี้หลายประเทศก็เป็นห่วงค่าครองชีพสูงทั้งค่าพลังงาน ราคาน้ำมันพุ่งสูงสุดในรอบหลายปี ก็ทำให้ค่าครองชีพสูงขึ้นตามมา ด้านอเมริกากำลังจะออกมาลด QE ในปี 2565 จะทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงได้ และอเมริกามีคู่ค้าสำคัญคือจีน และสงครามการค้าระหว่างกันก็ยังคงมีอยู่ จีนจากที่เคยส่งออกก็หันมาพึ่งพาตัวเองมากขึ้น และหันเหไปเอเชียไปอาเซียนมากขึ้น โดยจีนพัฒนาเศรษฐกิจและการเมืองไปพร้อมกัน
สำหรับประเทศไทย การกลับมาเปิดประเทศโดยเริ่มจากการท่องเที่ยวหวังว่าจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเป็นแสน แต่เข้ามาเพียงไม่กี่หมื่นราย และในจังหวะที่ไทยเปิดประเทศ ในบางประเทศยังปิดดังนั้นความไม่แน่นอนยังมีสูง ตอนนี้โดยส่วนตัวหวังว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตขึ้นในขณะที่ประเทศอื่นชะลอตัวลงสวนทางกัน เพราะเศรษฐกิจเขาโตไปก่อนหน้านี้แล้ว พอประเทศอื่นชะลอตัวเราเดินสวนทางดังนั้นผลจะไม่ดีมากอย่างที่อยากให้เป็น เพราะที่ถูกคือทั่วโลกและไทยต้องโตไปด้วยกันถึงจะดี
นายทวิช ประเมินภาพรวมไทยจากนี้ไปว่ายังต้องใช้ 3 เครื่องมือหลักในการกระตุ้นเศรษฐกิจคือ 1.ภาคส่งออกเวลานี้ของไทยมีเครื่องมือด้านการส่งออกดี แต่ก็ติดเรื่องตู้คอนเทนเนอร์ ค่าระวางเรือพุ่ง เพียงแต่เรายังได้อานิสงค์จากค่าเงินบาทอ่อน 33-34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่ามาประมาณ 10% แต่อย่าลืมว่าการส่งออกของไทยเด่นๆก็เป็นยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ส่วนใหญ่ก็เป็นทุนต่างชาติ เรามีสถานะแค่ฐานรับจ้างผลิต ขณะที่กลุ่มอาหารแปรรูป อาหารกระป๋อง กุ้งแปรรูป กุ้ง ไก่แช่แข็งเป็นธุรกิจคนไทย ก็จะได้ประโยชน์บ้าง
2.การท่องเที่ยวที่มีต้นทุนต่ำกว่าการส่งออก แต่ตอนนี้สะดุดคาดว่าการท่องเที่ยวปี2564จะเหลือไม่ถึง40ล้านคน(ตามภาวะปกติ)ก็ยังมีความหวังว่าปี 2565 จะดีขึ้น
3.การลงทุนทางตรงจากต่างประเทศหรือ FDI ในไทยก็หายไปมากเพราะพิษโควิดเดินทางไม่ได้ แต่การซื้อ-ขายผ่านช่องทางเทคโนโลยีก็มีบทบาทแล้ว ซึ่งในส่วนนี้ประเมินโดยรวมจะพบว่าในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาเรามีเม็ดเงินลงทุน 7-8 แสนล้านบาทก็ลดลงต่อเนื่อง เพียงแต่เรายังได้อานิสงค์จากระบบโครงสร้างพื้นฐานเป็นรถไฟความเร็วสูง
“ต้องยอมรับว่าเสน่ห์การลงทุนในไทยเหลือไว้แต่ความทรงจำที่ดี ซึ่งไม่รู้จะได้เห็นอีกเมื่อไหร่ อย่าลืมว่าในช่วง10 ปีที่ผ่านมาฐานการผลิตไทยไม่มีการลงทุนทางด้านเทคโนโลยีใหม่ๆ มีแต่การขยายกำลังผลิตเดิมๆ ทำให้ภาพรวมไทยกลายเป็นฐานการผลิตสินค้าโลว์เทค”
แต่อย่างไรก็ตามทั้ง 3 เครื่องมือนี้ก็ยังจำเป็นและต้องออกแรงช่วยมากขึ้นต่อไปเพราะถ้าเศรษฐกิจโลกฟื้นไปในทิศทางบวกไทยก็ได้รับอานิสงค์จากเครื่องมือ 3 ตัวนี้จะมากหรือน้อยก็ต้องจับตาดูต่อไป
นายทวิช เปรียบเทียบการลงทุนในเวียดนาม ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาทุนต่างชาติแห่เข้าไปลงทุนในอุตสาหกรรมไฮเทคเพราะมีความพร้อมด้านแรงงานถูกกว่าไทยและอายุแรงงานเฉลี่ยก็อยู่ในวัยทำงาน ตอนนี้ค่าแรงในไทยสูงเป็นอันดับ 2ในอาเซียนรองจากสิงคโปร์ เวียดนามได้อานิสงค์จากการลงทุน FDI เข้าไปจำนวนมาก และใช้เวลา 2ปีตั้งนิคมอุตสาหกรรมตั้งโรงงานได้ แถมค่าแรงได้เปรียบนโยบายด้านการลงทุนบางด้านเอื้อดีกว่าไทย
“ที่ผ่านมาไทยก็ปรับนโยบายส่งเสริมการลงทุนแต่ออกมาในรูปกระจุกตัวอยู่ในพื้นที่อีอีซี จะเห็นว่า 10 กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ กระจุกตัวอยู่ในพื้นที่อีอีซี ตรงนี้รัฐบาลควรปรับเปลี่ยนนโยบาย เปิดโอกาสให้การลงทุนขนาดกลางขนาดย่อมที่คนไทยพัฒนาเอง เกิดการลงทุนได้ในพื้นที่ 77 จังหวัดทั่วประเทศไทย รวมถึงเปิดให้ทุกพื้นที่สามารถลงทุนใน 10 กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ได้ด้วยโดยเน้นการกระจายไปยังทุกจังหวัด โดยเปิดกว้างเพื่อเป็นตัวเร่งให้ไทยเป็นฐานการผลิตอุตสาหกรรมไฮเทค ตอนนี้ถ้าเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ก็ต้องมีซัพพลายเชน ทั้งหมดนี้ก็จะเป็นเครื่องมือในการกระตุ้นเศรษฐกิจไทยปี 2565-2566 ได้อีกช่องทาง”
สำหรับฐานการผลิตไทยยังต้องจับตาหลายด้าน รวมถึงฐานการผลิตอุตสาหกรรมยานยนต์ที่กำลังก้าวสู่ยานยนต์ไฟฟ้า รัฐจะส่งเสริมของใหม่จะดูแลของเก่าอย่างไรทั้งคน และระบบการผลิตแบบเก่าจากผู้ประกอบการจำนวนมาก
“ยอมรับว่าน่าเป็นห่วงฐานการผลิตไทยอีกไม่เกิน 5 ปีน่าห่วงหลายด้านถ้าเราไม่พัฒนา นโยบายส่งเสริมต้องรีบเปลี่ยน ต้องรีบพัฒนาอุตสาหกรรมบริการมากขึ้น ทั้งอุตสาหกรรมไอที ซอร์ฟแวร์ ค้าปลีก โลจิสติกส์ โดยเฉพาะภาคบริการจะมีทิศทางสำคัญจะเป็นอีกทางมาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยได้”
นอกจากนี้ยังมองว่าที่ผ่านมาไทยวางแผนด้านการศึกษามาผิดทาง เราไปส่งเสริมให้คนเรียนฟรี 10 ปี 15 ปี ซึ่งผิดในแง่โครงสร้างเศรษฐกิจ ผลักดันให้คนเรียนสูงหมดแต่ขาดแรงงาน เวลานี้มองว่ารัฐบาลควรปรับเปลี่ยนการใช้เงินของรัฐ โดยนำเงินมาสร้างงาน มาจ้างงาน กระตุ้นให้คนมีงานทำในระยะสั้นน่าจะดีกว่า
อย่างไรก็ตามสรุปรวมได้ว่าปี 2565 ยังเหนื่อย เพราะสิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ 1.หนี้ครัวเรือนพุ่ง 2.การค้าอุตสาหกรรมขนาดย่อมยังคงกระทบต่อเนื่องโดยเฉพาะภาคท่องเที่ยวโรงแรม 3.จากวิกฤติโควิด-19 เกรงว่าจะเกิดการปิดจังหวัดเป็นช่วงๆเกิดขึ้น เนื่องจากเชื้อไวรัสพัฒนาไปเรื่อย ๆ 4.เกิดภาวะกำลังซื้อต่ำ 5.คนไม่มีกำลังซื้อก็จะลามกระทบถึงภาคอสังหาริมทรัพย์ได้ 6.การลงทุนจากต่างประเทศคาดหวังยากขึ้น 7.อย่าคาดหวังว่าตัวเลขท่องเที่ยวจะกลับมาเร็ว
“โดยสรุปภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 2565 ยังติดหล่มประเทศที่มีรายได้ขนาดกลางอยู่และยังไม่สามารถก้าวผ่านผู้มีรายได้สูงได้”