การที่นางแฮร์ริสเป็นตัวแทนพรรคเดโมเครตลงแข่งขันแทนไบเดนนั้น ทำให้การเลือกตั้งกลับมา “เข้มข้น และสูสี” ขึ้นทันที และจะเป็นครั้งที่สองที่ทรัมป์จะแข่งกับคู่แข่งที่เป็นผู้หญิง (ครั้งแรกเมื่อเลือกตั้งปี 2016 แข่งกับนางคลินตัน)
ประเด็นที่ทรัมป์จะโจมตีแฮร์ริสคือ “ปัญหาคนอพยพเข้าสหรัฐฯ” ที่แฮร์ริสรับผิดชอบ ต้องถือว่า “ล้มเหลว” เพราะไม่สามารถแก้ปัญหาได้ ตัวเลขเข้าปีละ 3 ล้านคน สมัยทรัมป์เข้ามาปีละ 4 แสนคน ในปี 2003 แฮร์ริสเป็นอัยการที่ซานฟรานซิสโก สนับสนุนสิทธิของคนอพยพ ปี 2008 เป็นอัยการสูงสุดที่แคลิฟอร์เนียก็ช่วยคนอยพยที่ไม่มีเอกสารให้ได้วีซ่า
ปี 2016 เป็น สว.สนับสนุนความฝันของเด็กอพยพที่ไม่มีเอกสารให้ได้กรีนการ์ด สมัยเป็นรองประธานาธิบดี พรรครีพับลิกันตั้งฉายาให้ว่า เป็น “Border Czar” จนเมื่อวันที่ 25 พ.ค.2567 สภาคองเกรสสหรัฐฯ ผ่านมติ (220-196) ตำหนิแฮร์ริสเรื่องการจัดการผู้อพยพ
แฮร์ริสสนับสนุนคนอพยพเพราะ พ่อแม่ก็อพยพเข้ามาอยู่ในสหรัฐฯ “แม่แฮร์ริสสอนว่าให้ภูมิใจที่มีสายเลือดอินเดียและคนผิวสี”
ประเด็นที่ทรัมป์จะโดนโจมตี คือ “Project 2025 Presidential Transition Project” จัดทำโดย Heritage Foundation ซึ่งเป็น Think Tank สายอนุรักษ์ มีความเกี่ยวข้องกับทรัมป์ (แม้จะปฎิเสธก็ตาม) คนจัดการและคนเขียนเป็นทีมงานของทรัมป์ มี 4 เรื่อง (Pillar) พูดถึงการบริหารประเทศใน 4 ปีข้างหน้า
โครงการนี้น่าจะเป็นคัมภีร์บริหารประเทศของพรรครีพับลิกัน เพราะเคยใช้ในสมัยโรนัลด์ เรแกน และทรัมป์สมัยแรกก็เคยมีหนังสือนี้ออกมาก่อน 2 ปี 64% ของนโยบายก็มาจากหนังสือเล่มนี้ เช่น ให้อำนาจประธานาธิบดีเพิ่ม และยกเลิกกระทรวงศึกษา เป็นต้น
ข้อมูลต่าง ๆ ในหนังสือเล่มนี้ มาจากคนที่มีหัวอนุรักษ์และทีมงานทรัมป์ หากเปรียบเทียบนโยบายเศรษฐกิจทั้งสองผู้สมัครพบว่าทรัมป์มีนโยบายเศรษฐกิจตาม “make America wealthy again” เช่น ลดราคาสินค้า (ผลิตน้ำมันในประเทศเพิ่ม ลดค่าใช้จ่ายภาครัฐไม่จำเป็น ลดระบียบกติกาที่เป็นอุปสรรค ควบคุมคนเข้าประเทศ) และปกป้องเศรษฐกิจภายในประเทศเป็นหลัก ซึ่งแตกต่างกับแฮร์ริส ที่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เหมือนกับสมัยไบเดน
นโยบายการค้าของทรัมป์จะ “สุดโต่ง” คือปกป้องและกีดกันธุรกิจ โดยการเก็บภาษีนำเข้า ยกเลิกข้อตกลงทางการค้าที่สหรัฐฯ เสียเปรียบ ส่วนแฮร์ริสก็คล้าย ๆ กัน แต่ไม่รุนแรงเท่ากับทรัมป์
ส่วนการค้าและลงทุนกับประเทศจีน ทรัมป์จะจัดการกับสินค้าจีนและการลงทุนจีนทั้งในสหรัฐฯ และในจีนอย่างเข้มข้น หนักกว่าสมัยแรก และหนักกว่าสมัยไบเดน จะกระทบการส่งออกและห่วงโซ่อุตสาหกรรมไทยที่ไปเกี่ยวข้องกับประเทศจีน แต่อาจจะเป็นโอกาสของสินค้าไทย ที่มีโอกาสในตลาดสหรัฐฯ ได้เพิ่มขึ้นจากการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนในสหรัฐฯ
หากทรัมป์ชนะเลือกตั้ง โอกาสการเกิดสงครามการค้าภาค 2 (Trade War II) มีแน่นอน ตามด้วยสงครามเทคโนโลยีกับจีนอย่างเข้มข้น หากแฮร์ริส ชนะเลือกตั้ง เราก็ทราบว่านโยบายเศรษฐกิจจะเป็นแบบไหน แต่หากทรัมป์เป็นประธานาธิบดีรอบนี้ “ธุรกิจและอุตสาหกรรมไทย ต้องปรับตัวกันขนานใหญ่แน่ ๆ”
บทความโดย : รองศาสตราจารย์ ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช
ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศ
ที่ปรึกษาบริษัท อินเทลลิเจนท์ รีเสิร์ช คอนซัลแตนท์ (ไออาร์ซี) จำกัด