ศึกเลือกตั้งตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ที่จะมีขึ้นในวันที่ 5 เดือนพฤศจิกายน 2567 กำลังเป็นที่จับตาของทั่วโลก ไม่แพ้สถานการณ์การสู้รบในตะวันออกกลาง และรัสเซีย-ยูเครน
เพราะไม่ว่า โดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกัน และ รองประธานาธิบดี คามาลา แฮร์ริส จากพรรคเดโมแครต ใครจะได้รับชัยชนะ ล้วนส่งผลมาถึงปากท้องพี่น้องประชาชนคนไทยทั้งสิ้น ส่วนจะมากน้อยแค่ไหนก็ต้องมาดูกัน เพราะจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่มีผลต่อสถานการณ์ราคานํ้ามันหลังจากนี้ไป
มาวิเคราะห์ผลกระทบที่เป็นไปได้จากนโยบายของทั้งสองผู้สมัคร
หาก โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้ง ราคานํ้ามันอาจมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เนื่องจากนโยบายเน้นการสนับสนุนอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิล การลดกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อม และ การเพิ่มการผลิตนํ้ามันภายในประเทศสหรัฐฯ
นโยบายเหล่านี้อาจนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของอุปทานนํ้ามันในตลาดโลก แต่ในขณะเดียวกัน การเพิ่มขึ้นของอุปทานอาจไม่เพียงพอที่จะชดเชยความต้องการที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง ซึ่งอาจทำให้ราคานํ้ามันปรับตัวสูงขึ้นได้อีก
หาก คามาลา แฮร์ริส ชนะการเลือกตั้ง ราคานํ้ามันอาจมีแนวโน้มลดลง หรือ ทรงตัว เนื่องจากนโยบายของพรรคเดโมแครต มักเน้นการเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาด การลงทุนในพลังงานทดแทน และการควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจก นโยบายเหล่านี้อาจทำให้ความต้องการนํ้ามันลดลงในระยะยาว
ทั้งนี้ เมื่อผนวกนโยบายทางความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์เข้าไป หาก โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้ง น่าจะส่งผลดีต่อสถานการณ์ราคานํ้ามันในตลาดโลก เพราะทรัมป์ มีนโยบายที่จะสนับสนุนให้ยุติสงครามโดยเร็ว ไม่ว่าในตะวันออกกลาง และ ในรัสเซีย-ยูเครน
ขณะที่ คามาลา แฮร์ริส ชนะการเลือกตั้ง คาดว่าสงครามดังกล่าวยังเดินหน้าต่อไป เพราะแฮร์ริส เองมีนโยบายที่จะยังสนับสนุนสิทธิของอิสราเอล ในการป้องกันตนเอง และการกำจัดกลุ่มฮามาสรวมถึงไม่มีท่าทีใดๆ ว่าจะเปลี่ยนแปลงแนวนโยบายของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ที่ให้ความสำคัญในการจับมือกับชาติพันธมิตร NATO เพื่อต่อต้านการกระทำของรัสเซีย และสนับสนุนความช่วยเหลือในการจัดส่งอาวุธแก่ยูเครนอย่างต่อเนื่อง
ดังนั้น ศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาครั้งนี้ จึงมีผลต่อสถานการณ์ราคานํ้ามันของโลกโดยตรง เพราะหากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ หรือ ยังมีสงครามต่อไปและทวีความรุนแรงขึ้น นั่นยอมเป็นปัจจัยสำคัญ ที่จะส่งผลกระทบต่อราคานํ้ามันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และมีผลกระทบโดยตรงต่อค่าครองชีพของคนไทยเช่นกัน ที่ต้องควักกระเป๋าจ่ายค่าพลังงานทั้งนํ้ามัน และไฟฟ้าเพิ่มขึ้นไปอีก ซึ่งคงต้องจับตาติดตามสถานการณ์ต่อไป
อย่างไรก็ตาม สำนักงานกองทุนนํ้ามันเชื้อเพลิง (สกนช.) ออกมายืนยันว่า ในปีงบประมาณ 2568 นี้กองทุนนํ้ามันเชื้อเพลิง ยังจะรักษาเสถียรภาพระดับราคาขายปลีกนํ้ามันดีเซลไว้ไม่ให้เกิน 33 บาทต่อลิตร ต่อไป
แต่ทั้งนี้ ก็ต้องขึ้นอยู่กับราคานํ้ามันเชื้อเพลิงในตลาดโลก และฐานะกองทุนนํ้ามันฯว่าจะรับได้แค่ไหน ซึ่งล่าสุดติดลบอยู่ที่ราว 92,041 ล้านบาท