สิ่งที่“มองเห็น”และ“มองไม่เห็น” ในทางเศรษฐศาสตร์

23 ต.ค. 2567 | 09:23 น.
อัปเดตล่าสุด :23 ต.ค. 2567 | 09:38 น.

สิ่งที่“มองเห็น”และ“มองไม่เห็น” ในทางเศรษฐศาสตร์ : คอลัมน์เศรษฐเสวนา จุฬาฯ ทัศนะ โดย... ผศ.ดร.พงศ์ศักดิ์ เหลืองอร่าม คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 4038

ในโลกที่เต็มไปด้วยความซับซ้อนทางเศรษฐกิจ การตัดสินใจที่รอบคอบจําเป็นต้องอาศัยมากกว่าการมองเพียง สิ่งที่ปรากฏตรงหน้า เฟรเดริก บาสเตียต์ (Frédéric Bastiat) นักเศรษฐศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ในศตวรรษที่ 19 ได้ให้แนวคิดที่ทรงอิทธิพล "สิ่งที่มองเห็นและสิ่งที่มองไม่เห็น" เพื่อเตือนใจเราถึงความสําคัญของการมองภาพรวม โดยเฉพาะผลกระทบระยะยาวที่มักถูกมองข้าม 

บทความนี้ จะพาผู้อ่านไปสํารวจแนวคิดดังกล่าว พร้อมทั้งวิเคราะห์ความเชื่อมโยงกับประเด็นปัญหาในปัจจุบัน เพื่อให้เราสามารถนําบทเรียนจากอดีตมาประยุกต์ใช้ในการตัดสินใจ ทั้งในระดับบุคคลและระดับประเทศ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เฟรเดริก บาสเตียต์: ชีวิตและผลงาน 

เพื่อให้เข้าใจแนวคิดนี้อย่างถ่องแท้ เรามาทําความรู้จักกับ เฟรเดริก บาสเตียต์ กันก่อนครับ บาสเตีย เกิดในปี ค.ศ. 1801 ในช่วงเวลาที่ฝรั่งเศส กําลังเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและเศรษฐกิจอย่างมาก เขาได้พัฒนาความสนใจในวิชาเศรษฐศาสตร์จากการได้ศึกษาแนวคิดของอดัม สมิธ, ฌอง-แบ๊บติสต์ เซย์ และ นัก เศรษฐศาสตร์คนสําคัญๆ 

เขาเป็นนักสนับสนุนการค้าเสรี และต่อต้านการแทรกแซงของรัฐบาลในระบบ เศรษฐกิจ ในผลงานที่สําคัญของเขามีชื่อว่า สิ่งที่มองเห็นและสิ่งที่มองไม่เห็น (What is Seen and What is UnSeen หรือ ชื่อเดิมในภาษาฝรั่งเศสคือ Ce qu'on voit et ce qu'on ne voit pas) ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1850 บาสเตียต์ได้ใช้ตัวอย่างง่ายๆ ในการแสดงให้เห็นถึงความสําคัญของการมองให้รอบด้าน ที่ชื่อว่า "อุปมา หน้าต่างแตก" ที่เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในวงการเศรษฐศาสตร์ในเวลาต่อมา

อุปมาหน้าต่างแตก (Broken Window Fallacy) 

ในเรื่องราวนี้ บาสเตียต์เล่าถึงเด็กชายที่ทําให้หน้าต่างร้านค้าของเจ้าของร้านคนหนึ่งแตก ผู้คนในละแวกนั้น ต่างคิดว่าเหตุการณ์นี้ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย เพราะเจ้าของร้านต้องจ้างช่างกระจกมาซ่อมหน้าต่าง ซึ่งจะทําให้ช่างกระจกมีรายได้ และเงินจะหมุนเวียนในเศรษฐกิจมากขึ้น 

แต่บาสเตียต์ชี้ให้เห็นถึงสิ่งที่หลายคนมองข้าม นั่นคือ เงินที่ใช้ในการซ่อมหน้าต่างนี้ เป็นเงินที่เจ้าของร้านอาจจะนําไปใช้ลงทุนในสิ่งอื่น ๆ ที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า เช่น การซื้อสินค้าใหม่สําหรับร้านของเขา

สิ่งที่มองไม่ เห็นคือ "ค่าเสียโอกาส" หรือ มูลค่าของทางเลือกที่ดีที่สุดที่ต้องสละไป เมื่อตัดสินใจเลือกทางเลือกหนึ่ง ในกรณีนี้ คือ โอกาสที่สูญเสียไปจากการใช้เงินซ่อมหน้าต่าง แทนที่จะนําไปลงทุนในสิ่งที่สร้างมูลค่าเพิ่ม บาสเตียต์ต้องการ

เน้นย้ำให้เห็นว่า การมองเพียงผลกระทบที่ปรากฏชัดเจน (seen) โดยไม่คํานึงถึงผลกระทบที่ซ่อนอยู่ (unseen) สามารถทําให้เราเข้าใจเศรษฐกิจผิดพลาดได้                                    

เฮนรี่ แฮซลิตต์: ผู้สืบสานแนวคิดของบาสเตีย

เฮนรี่ แฮซลิตต์ (Henry Hazlitt, 1894-1993) เป็นนักหนังสือพิมพ์ และนักเขียนชาวอเมริกัน ที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อแนวคิดเสรีนิยมทางเศรษฐกิจ ในศตวรรษที่ 20 แฮซลิตต์เริ่มต้นอาชีพในฐานะนักข่าวและบรรณาธิการ โดยทํางานให้กับสิ่งพิมพ์ชั้นนําหลายฉบับ และเป็นที่รู้จักในฐานะนักเขียนที่สามารถอธิบายแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ ที่ซับซ้อนให้เข้าใจง่ายสําหรับสาธารณชน 

ประมาณเกือบหนึ่งศตวรรษ หลังจากการเสียชีวิตของบาสเตียต์แฮซลิตต์ ได้นําแนวคิดของบาสเตียร์มาขยาย ความในหนังสือของเขา "เศรษฐศาสตร์ในบทเรียนเดียว" (Economics in One Lesson) ที่ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1946

หนังสือเล่มนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่ออธิบายหลักการทางเศรษฐศาสตร์ขั้นพื้นฐานให้กับประชาชนทั่วไป โดย แฮซลิตต์ได้นําเสนอ "บทเรียนเดียว" ที่สําคัญ นั่นคือ การวิเคราะห์ผลกระทบของนโยบายเศรษฐกิจ ต้องพิจารณาผลกระทบในระยะยาวต่อสังคมโดยรวม ไม่ใช่เพียงผลกระทบระยะสั้นต่อกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง

หนังสือเล่มนี้กลายเป็นผลงานที่ทรงอิทธิพล ในวงการเศรษฐศาสตร์ ด้วยความสามารถของแฮซลิตต์ในการอธิบาย 

แนวคิดที่ซับซ้อนให้เข้าใจได้ง่าย และการเน้นย้ำถึงความสําคัญของการมองผลกระทบในระยะยาว ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิด "สิ่งที่มองเห็นและสิ่งที่มองไม่เห็น" ของบาสเตีย 

แฮซลิตต์ไม่เพียงแต่สืบทอดแนวคิดของบาสเตียร์เท่านั้น แต่ยังประยุกต์ใช้แนวคิดเหล่านี้กับประเด็นทางเศรษฐกิจร่วมสมัย เช่น การวิพากษ์วิจารณ์นโยบายควบคุมราคา การโต้แย้งการแทรกแซงของรัฐบาลใน ตลาดแรงงาน หรือ การประเมินผลกระทบของนโยบายสวัสดิการสังคม ทําให้แนวคิดของบาสเตียต์ยังคงมีความเกี่ยวข้องและเข้าใจได้สําหรับผู้อ่านในยุคศตวรรษที่ 20 ผลงานของแฮซลิตต์มีส่วนสําคัญในการเผยแพร่ แนวคิดเศรษฐศาสตร์แบบเสรีนิยมให้แพร่หลายในสหรัฐอเมริกาและทั่วโลก 

ในบทสรุปของหนังสือ Economics in One Lesson แฮซลิตต์ได้กล่าวถึงบทเรียนสําคัญว่า "ข้อผิดพลาดพื้นฐานในทางเศรษฐศาสตร์ คือ ความโน้มเอียงที่จะมองผลลัพธ์ระยะสั้นสําหรับกลุ่มเฉพาะ โดยมองข้ามผลกระทบในระยะยาวที่เกิดขึ้นต่อสังคมโดยรวม" (The central fallacy in economics is the tendency to look at the short-term consequences for particular groups, while ignoring long-term
effects on society as a whole.) การเตือนของแฮซลิตต์ในข้อนี้มีความสําคัญอย่างยิ่ง เพราะบ่อยครั้งที่นโยบายทางเศรษฐกิจที่ดูเหมือนจะสร้างประโยชน์ในระยะสั้น อาจสร้างผลกระทบที่ใหญ่กว่าในระยะยาวซึ่งไม่เป็นที่สังเกตได้ทันที

ตีความงานของบาสเตียร์ในสามมิติ

แนวคิดใน "สิ่งที่เห็นและสิ่งที่มองไม่เห็น" ของบาสเตียต์สามารถถูกตีความในสามมิติที่สําคัญ ซึ่งแต่ละมิติเหล่านี้ สะท้อนถึงหลักการสําคัญทางเศรษฐศาสตร์ที่ยังคงเป็นประเด็นในปัจจุบัน 

1. ค่าเสียโอกาส (Opportunity Cost)

บาสเตียต์ไม่ได้ใช้คําว่า "ค่าเสียโอกาส" โดยตรง แนวคิดนี้ได้รับการพัฒนาและบัญญัติศัพท์โดยนักเศรษฐศาสตร์ชาวออสเตรีย ฟรีดริช ฟอน วีเซอร์ (Friedrich von Wieser) ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 โดยชี้ให้เห็นว่า ในการเลือกที่จะทําสิ่งหนึ่ง ย่อมหมายถึงการสูญเสียโอกาสที่จะทําสิ่งอื่นเสมอ เช่นในกรณี ของเจ้าของร้านค้า เงินที่ถูกใช้ไปซ่อมหน้าต่าง ไม่สามารถนําไปใช้ลงทุนในโอกาสอื่น ๆ ได้ แนวคิดนี้แสดงถึง การต้องคํานึงถึงต้นทุนที่ซ่อนอยู่เมื่อเราทําการตัดสินใจ

2. การมองผลระยะสั้นและระยะยาว 

แนวคิดที่สองเกี่ยวกับการมองระยะสั้น (สิ่งที่เห็น) กับผลกระทบในระยะยาว (สิ่งที่มองไม่เห็น) เป็นสิ่งที่บาสเตียต์ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจน ตัวอย่างเช่น นโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น ที่ดูเหมือนจะมีประโยชน์ แต่บาสเตียต์และแฮซลิตต์เตือนเราว่า สิ่งที่มองไม่เห็นคือผลกระทบระยะยาว เช่น หนี้สาธารณะที่อาจจะเพิ่มขึ้น การมองแค่ผลลัพธ์ในช่วงสั้นๆ โดยไม่พิจารณาผลในอนาคตอาจก่อให้เกิดปัญหาที่ยิ่งใหญ่กว่าที่เราคาดคิด 

3. ดุลยภาพบางส่วนและดุลยภาพทั่วไป (Partial and General Equilibrium)

อีกมิติหนึ่งของการตีความงานของบาสเตียต์ คือ เรื่องของดุลยภาพบางส่วนและดุลยภาพทั่วไป ตัวอย่างเช่น การที่รัฐบาลสนับสนุนให้ประชาชนซื้อรถยนต์ อาจทําให้ยอดขายรถยนต์เพิ่มขึ้น อุตสาหกรรมรถยนต์ขยายตัว ซึ่งเป็นผลกระทบในดุลยภาพบางส่วน แต่ในดุลยภาพทั่วไป อาจทําให้เกิดปัญหาการจราจรติดขัด มลพิษทาง อากาศ และการใช้พลังงานเพิ่มขึ้น การวิเคราะห์ที่คํานึงถึงผลกระทบในวงกว้าง เป็นสิ่งสําคัญในการทําความ เข้าใจเศรษฐศาสตร์อย่างรอบด้าน

                                         สิ่งที่“มองเห็น”และ“มองไม่เห็น” ในทางเศรษฐศาสตร์

การนําแนวคิดไปใช้ในยุคปัจจุบัน : ความเชื่อมโยงกับนโยบายประชานิยม

ในยุคปัจจุบัน แนวคิดของบาสเตียต์ และ แฮซลิตต์ ยังคงมีความเกี่ยวข้องอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาถึงนโยบายประชานิยม (Populism) ที่กําลังแพร่หลายไปทั่วโลก รัฐบาลประชานิยมมักจะนําเสนอนโยบายที่ดึงดูดประชาชนในระยะสั้น

เช่น โครงการเงินช่วยเหลือแบบให้เปล่า หรือ นโยบายประกันราคาพืชผลทางการเกษตร หรือ โครงการสร้างงาน ที่ดูเหมือนจะช่วยเหลือคนทั่วไปในทันที สิ่งเหล่านี้มักเน้นผลลัพธ์ในระยะสั้น โดยไม่คํานึงถึงผลกระทบที่ซ่อนอยู่ในระยะยาว เช่น การเพิ่มขึ้นของหนี้สาธารณะ ภาระภาษีในอนาคต หรือการบิดเบือนกลไกตลาด 

งานวิจัยโดย มานูเอล ฟุ้งเก (Manuel Funke), มอริทซ์ ชูลาริค (Moritz Schularick), และ คริสตอฟ เทรเบช (Christoph Trebesch) ในชื่อ "Populist leaders and the Economy" ที่ตีพิมพ์ในวารสาร American Economic Review ในปี 2023 พบว่า แนวทางประชานิยมส่งผลเสียในระยะยาว โดยเฉพาะนโยบายเศรษฐกิจ ที่ทําให้มีการใช้จ่ายเกินตัว อีกทั้งยังทําให้สถาบันประชาธิปไตยอ่อนแอลง เช่น อาจนําไปสู่การใช้อํานาจนิยม หรือ การทุจริตคอร์รัปชัน ซึ่งจะส่งผลเสียต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในระยะยาว 

การวิเคราะห์ของงานชิ้นนี้ชี้ให้เห็นถึงผลกระทบที่น่ากังวลของนโยบายประชานิยมต่อศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจ งานวิจัยระบุว่านโยบายประชานิยมสามารถส่งผลกระทบต่ออัตราการเติบโตของ GDP อย่างมีนัยสําคัญ โดยพบว่า ภายหลังจากการบริหารประเทศของผู้นําประชานิยมแล้ว 15 ปี ประเทศเหล่านี้มักจะมีอัตราการเติบโตของ GDP ต่ำกว่าประเทศที่ไม่ได้รับผลกระทบจากประชานิยมถึงประมาณ 10% 

การลดลงนี้เป็นผลมาจากการใช้จ่ายภาครัฐที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ในระยะยาว และการบิดเบือนทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการแทรกแซงตลาด นโยบายประชานิยมที่เน้นเพียงผลประโยชน์เฉพาะหน้าไม่สามารถสร้างการเติบโตที่ยั่งยืน ให้กับประเทศในระยะยาวได้ 

แนวคิดของบาสเตียต์และแฮซลิตต์เตือนใจเราว่า ในโลกที่ซับซ้อนนี้ เราต้องมองให้ไกลกว่าผลลัพธ์เฉพาะหน้า ในประเทศไทยเองเราก็เผชิญกับความท้าทายในการพิจารณานโยบายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น โครงการประชานิยม เช่น นโยบายลดแลกแจกเงิน หรือ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น เราจําเป็นต้องคิดวิเคราะห์อย่างรอบด้าน

พิจารณาทั้ง “สิ่งที่มองเห็น" และ "สิ่งที่มองไม่เห็น” ก่อนตัดสินใจสนับสนุนหรือคัดค้านนโยบายใดๆ และ ส่งเสริมวัฒนธรรมการเมืองที่มีเหตุผล เพื่อให้ประเทศสามารถพัฒนาไปข้างหน้าได้อย่างยั่งยืน

ท้ายที่สุด บทเรียนสําคัญที่ได้จากบาสเตียต์ และ แฮซลิตต์ ไม่ใช่เพียงทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์ แต่เป็นกรอบความคิดที่เราสามารถนําไปประยุกต์ใช้ได้ในชีวิตประจําวัน การตระหนักถึงผลกระทบระยะยาวและค่าเสียโอกาส จะช่วยให้เราสามารถสร้างอนาคตที่ยั่งยืนขึ้นสําหรับตัวเองและสังคม