***หลังปรากฏชื่อของ “เจนเซน หวง” ซีอีโอของ NVIDIA จะเดินทางมาเยือน เตรียมเข้าพบ “แพทองธาร ชินวัตร” พร้อมเตรียมประกาศแผนลงทุนใหญ่ ทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศไทย ในฐานะความเป็นศูนย์กลาง Data Center ในภูมิภาค จะมีความชัดเจนมากขึ้น
หลังจากก่อนหน้านี้มีทั้ง Amazon Web Service (AWS), Google, Microsoft, NextDC, STT GDC, Supernap (Switch), Telehouse และ One Asia ซึ่งได้ประกาศการลงทุนในธุรกิจ Data Center ขึ้นในประเทศไทยมาแล้ว
ว่าแต่นอกจากสิ่งที่ยักษ์ใหญ่ทางเทคโนโลยีเหล่านี้ จะได้จากการลงทุนธุรกิจ Data Center ขึ้นในประเทศ แล้วประเทศไทยจะได้อะไร และจะมีหุ้นกลุ่มใดได้อานิสงส์จากทุนใหญ่เหล่านี้บ้าง....
ก่อนอื่นเราต้องรู้ก่อนว่า สาเหตุที่ยักษ์ใหญ่พิจารณาเลือกเข้ามาตั้ง Data Center ขึ้นในประเทศไทย ประกอบไปด้วย...
การเป็นจุดศูนย์กลางที่สามารถเชื่อมต่อกับประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะศักยภาพในการเป็น Connecting Hub สำหรับกลุ่มประเทศ CLMVT ที่มีประชากรรวมกันกว่า 250 ล้านคน
ขณะที่ไทย คือ มีความมั่นคงปลอดภัยสูง มีความเสี่ยงต่อภัยธรรมชาติต่ำ อีกทั้งไทยมีความเป็นกลาง ไม่ใช่ประเทศคู่ขัดแย้งในเวทีระหว่างประเทศ ต่อมาคือ การมีโครงสร้างพื้นฐานมีคุณภาพ มีศักยภาพในการจัดหาพลังงานสะอาด ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญของการลงทุน Data Center รวมไปถึงการมีเครือข่าย 5G ที่ครอบคลุมพื้นที่สามารถรองรับการส่งข้อมูลได้ในปริมาณสูง
อย่างที่สี่ของไทย คือ สัดส่วนการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตของประชากรที่อยู่ในระดับสูงถึง 88% มีผู้ใช้งาน Social Media กว่า 70% และประชาชนมีทักษะในการทำธุรกรรมการเงินผ่านระบบดิจิทัล
และท้ายที่สุด คือ ประเทศไทยมีกฎหมายเอื้อสิทธิประโยชน์ ที่จูงใจจาก BOI การอนุญาตให้ถือครองที่ดินเพื่อประกอบกิจการที่ได้รับการส่งเสริม การอำนวยความสะดวกด้านวีซ่า และใบอนุญาตทำงาน รวมไปถึงการลดหย่อนภาษีเงินได้สำหรับบุคลากรทักษะสูงนั่นเอง
เมื่อมีการตั้ง Data Center ขึ้นในประเทศ...ประเทศไทยจะได้อะไร และจะมีหุ้นกลุ่มใดได้อานิสงส์จากทุนใหญ่เหล่านี้บ้าง
ในส่วนที่ประเทศไทยจะได้ นอกจากเม็ดเงินจำนวนมหาศาลที่จะเกิดจากการลงทุน ก็คือ การสร้างงานให้แก่บุคคลากรทักษะสูงทั้งทางตรงและทางอ้อมขึ้นในประเทศจำนวนหลายหมื่นตำแหน่ง การช่วยส่งเสริมการเติบโตของอุตสาหกรรมอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น การผลิต การเงิน เทคโนโลยี และ นวัตกรรม ธุรกิจด้านสุขภาพ การท่องเที่ยว อีคอมเมิร์ซ การเข้าถึงบริการ Cloud ที่มีคุณภาพสูง และยังรวมไปถึงภาพลักษณ์ของการเป็นประเทศที่มีศักยภาพทางเทคโนโลยีชั้นนำของโลก
ขณะที่กลุ่มหุ้นที่จะได้อานิสงส์จากการตั้ง Data Center ขึ้นในประเทศประกอบไปด้วย
บริษัทที่มีฐานธุรกิจอิงดิจิทัล BE8, BBIK, INSET, GULF ซึ่งมีแนวโน้มที่จะได้รับประโยชน์อย่างมากจากการเปลี่ยนแปลงนี้ โดยในส่วนของ GULF นอกจากจะได้ขายไฟฟ้า ก็ยังจะได้จากความร่วมมือในศูนย์ข้อมูลกับ Singtel และ AIS โดยเฟสแรกจะเริ่มในปี 2025
ส่วนทาง BE8, BBIK, INSET ก็จะได้รับอานิสงส์จากการปรับตัวของภาคธุรกิจเข้าสู่ระบบ Digital จะส่งผลให้อุตสาหกรรม Digital Transformation เติบโตได้อีกมาก
หุ้นกลุ่มสื่อสารขนาดใหญ่อย่าง ADVANC, TRUE ที่แม้ทางยักษ์ใหญ่เหล่านี้จะมีการสร้างดาต้าเซ็นเตอร์เอง แต่ยังจำเป็นที่จะต้องมีการเชื่อมต่อกับลูกค้าเป้าหมาย ที่จะต้องอาศัยโครงข่ายพื้นฐาน เช่น เส้นใยแก้วนำแสง ซึ่งมีโอกาสที่จะเลือกใช้บริการดังกล่าว จากกลุ่ม ADVANC หรือ TRUE เช่นกัน
หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าซึ่งก็หนีไม่พ้นไปจาก GULF GPSC BGRIM EA WHAUP เนื่องจากปัจจัยเรื่องพลังลังงานสำคัญมาก เนื่องจาก Data Center จำเป็นที่จะต้องใช้พลังงานไฟฟ้าจำนวนมหาศาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน น่าจะสร้างแต้มต่อได้ดีกว่าปกติ
หุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ เช่น DELTA KCE HANA และ CCET เนื่องจากบริษัทเหล่านี้ ถือว่าเป็นผู้นำในการผลิตชิ้นส่วน และอุปกรณ์ประกอบสำหรับ Data Center เพื่อส่งขายไปทั่วโลกอยู่แล้ว ดังนั้น การตั้ง Data Center ขึ้นในประเทศไทย กลุ่มหุ้นอิเล็กทรอนิกส์จึงได้อานิสงส์ไปเต็มเช่นกัน
หุ้นนิคมอุตสาหกรรม AMATA WHA ทั้งนี้ได้มีการเจรจากับดาต้าเซ็นเตอร์มากกว่าหนึ่งราย และยอดขายที่ดินอาจสูงกว่าเป้า ขณะที่บริษัทดาต้าเซ็นเตอร์ขนาดใหญ่ ต้องการใช้น้ำเป็นจำนวนมาก (มากกว่า 10 เท่าของโควตาน้ำที่ให้) ซึ่งจะทำให้ยอดขายน้ำของ WHA เพิ่มขึ้น 4-5% อีกหลายปี นอกจากนี้ ดาต้าเซ็นเตอร์ต้องการไฟฟ้า นั่นจึงทำให้นิคมอุตสาหกรรมสามารถสร้างรายได้ต่อเนื่องได้อีกหลายปี
เอาเป็นว่าดูไปแล้วมีแต่เรื่องดี...แต่ในเรื่องดีก็ยังมีอีกหลายเรื่องที่อาจจะสร้างปัญหาให้เกิดขึ้นได้ในอนาคตตามมา เจ๊เมาธ์ก็หวังว่าการส่งเสริมและการดูแลของรัฐบาล จะทำให้มีเรื่องดีมากกว่าความเสียหายนะคะ รีบเดินหน้า...รีบพัฒนาให้เดินนำหน้า หรือ อย่างน้อยก็ก้าวให้ทันโลกนะคะ เจ๊เมาธ์เป็นกำลังใจให้ค่ะ