*** คอลัมน์ฐานโซไซตี หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 4,047 ระหว่างวันที่ 24-27 พ.ย. 2567 “ว.เชิงดอย” ประจำการนำเสนอข้อมูลข่าวสาร ที่มีสาระ เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะเช่นเคย
*** ในการประชุมประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่มี แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เมื่อวันอังคารที่ 19 พ.ย. 2567 ที่ประชุมมีมติเห็นชอบมาตรการแจกเงิน 10,000 บาท เฟส 2 ให้กับผู้สูงอายุ ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป รวม 4 ล้านคน ใช้งบประมาณ 40,000 ล้านบาท โดย พิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯและรมว.คลัง ออกมาอธิบายว่า จะเติมเงินให้กลุ่มที่มีความจำเป็นก่อน เพราะกำลังเตรียมการระบบเงินดิจิทัลวอลเล็ต เพื่อให้คนที่มีความเข้าใจมาใช้จริงๆ หลังจากทดลองระบบแล้ว โดยดูความพร้อมของระบบเป็นสำคัญ คาดว่าจะเริ่มต้นในช่วงเดือน เม.ย.- มิ.ย. 2568 โดยคณะกรรมการฯ ได้มอบหมายให้กระทรวงการคลัง กลับไปจัดทำรายละเอียดก่อนมาเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต่อไป
*** จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง ออกมาขยายความเพิ่มเติมว่า โครงการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ระยะที่ 2 แก่กลุ่มผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป คลังมีความตั้งใจจะแจกเงินให้ถึงมือประชาชนเร็วขึ้น ก่อนถึงช่วงตรุษจีน หรือ ก่อนวันที่ 29 ม.ค. 2568 โดยกำลังเร่งจัดทำกระบวนการต่างๆ ทั้งในส่วนของการตรวจสอบรายชื่อผู้มีสิทธิ ขั้นตอนการจ่ายเงินให้เสร็จ ซึ่งตั้งใจจะประกาศผลได้ในเร็วๆ นี้ หรือวางเป้าหมายไว้ภายในเดือน ธ.ค. 2567
พร้อมระบุถึงคุณสมบัติของผู้ที่จะได้รับเงินในเฟส 2 ว่า จะต้องเป็นผู้ลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชันทางรัฐ และผ่านการตรวจสอบแล้วเท่านั้น และที่สำคัญต้องไม่เป็นกลุ่มที่เคยได้รับเงิน 10,000 บาท ในระยะแรกมา และประเมินว่ากลุ่มอายุ 60 ปีขึ้นไป จะมีจำนวนไม่มาก โดยรัฐบาลตั้งกรอบงบประมาณไว้ที่ 40,000 ล้านบาท แต่ใช้จริงอาจจะประมาณกว่า 3 ล้านคนเท่านั้น
*** ส่วนการแจกเงินดิจิทัล วอลเล็ต เฟส 3 ที่ใช้วงเงินที่เหลืออีก 1.4 แสนล้านบาท คาดจะเริ่มช่วงเดือน เม.ย.-มิ.ย. 2568 หลังจากจัดทำและทดสอบระบบดิจิทัลวอลเล็ตเสร็จสมบูรณ์แล้ว โดยกลุ่มนี้จะได้รับเงิน 10,000 บาท เพื่อใช้ผ่านระบบวอลเล็ตเท่านั้น ไม่มีการแจกเป็นเงินสด ส่วนการลงทะเบียนในรอบกลุ่มผู้ไม่มีสมาร์ทโฟนได้ กำลังพิจารณา และจะเปิดให้ลงทะเบียนได้ในเร็วๆ นี้
*** นอกจากรัฐบาลจะเห็นชอบมาตรการแจกเงิน 10,000 บาท เฟส 2 ให้กับผู้สูงอายุ ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป รวมประมาณ 4 ล้านคนแล้ว คณะกรรมการกระตุ้นเศรษฐกิจ ยังได้มีมติแก้ปัญหา “หนี้ครัวเรือน” ด้วยการเตรียมพักชำระดอกเบี้ยเงินกู้ให้กับลูกหนี้ที่มีหนี้เสียไม่เกิน 1 ปี เป็นระยะเวลา 3 ปี ผ่านธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ และธนาคารพาณิชย์
โดยการช่วยเหลือจะครอบคุลมลูกหนี้ 3 กลุ่ม คือ หนี้บ้าน หนี้รถยนต์ และ หนี้จากการบริโภค (หนี้บัตรเครดิต) โดยให้ผ่อนเฉพาะเงินต้น ให้เป็นเด็กดี ชำระตามกำหนด คาดว่าผู้ได้รับสิทธิพิเศษ ประมาณ 4.3 แสนราย มูลหนี้ 1.31 ล้านล้านบาท ประกอบด้วย หนี้บ้านอยู่อาศัย 46,000 ราย มูลหนี้คงค้าง 483,000 ล้านบาท หนี้รถยนต์ จำนวน 1.4 ล้านบาท มูลหนี้ 375,000 ล้านบาท ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี 4.3 แสนราย มูลหนี้ 454,000 ล้านบาท โดยกำหนดผู้เข้าร่วมโครงการต้องเป็นหนี้ NPL ก่อน 31 ต.ค. 2567
*** ขณะเดียวกัน คณะกรรมการกระตุ้นเศรษฐกิจ ยังได้เห็นชอบโครงการจ่ายเงินช่วยเหลือชาวนา ไร่ละ 1,000 บาท เนื่องจากรัฐบาลเห็นว่า กลุ่มเกษตรกรยังคงเป็นกลุ่มที่มีความเปราะบางอยู่ แม้ว่าในขณะนี้ราคาพืชผลการเกษตรจะปรับตัวดีขึ้น แต่เกษตรกรหลายครอบครัวยังมีภาระหนี้อีกมาก รัฐบาลจึงมีแนวคิดเข้าไปดูแลให้ในระดับที่เหมาะสม
นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมว.เกษตรและสหกรณ์ ขยายความว่า ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) ในวันจันทร์ที่ 25 พ.ย.นี้ คณะอนุกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติด้านการผลิต จะเสนอการช่วยเหลือชาวนาในโครงการช่วยสนับสนุนค่าเก็บเกี่ยวข้าวเป็น 1,000 บาทต่อไร่ ครัวเรือนละไม่เกิน 10 ไร่ คาดว่าใช้งบประมาณ 38,578 ล้านบาท มากกว่าเดิมที่มีกรอบวงเงินอยู่ 29,980 ล้านบาท
*** แม้รัฐบาลจะออกมาตรการหลายอย่างเพื่อ “กระตุ้นเศรษฐกิจ” แต่ รศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจ ม.หอการค้าไทย สะท้อนว่า แม้หลายฝ่ายประเมินว่า “ภาคส่งออก” และ “การท่องเที่ยว” จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยช่วงปลายปี ซึ่งจะส่งผลให้จีดีพีของไทยขยายตัวได้ดีกว่าไตรมาสที่ 3 แต่ “รัฐบาลควรมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมากกว่านี้” เนื่องจากมีความเสี่ยงที่จะเจอกับเทรดวอร์ (Trade War) ในช่วงไตรมาสที่ 1 -2 ของปีหน้า จึงควรสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ
ขณะที่ผู้บริโภคพร้อมใช้จ่ายช่วงปีใหม่ จึงอาจมีมาตรการเพิ่มเติม เช่น ช้อปดีมีคืน ที่สามารถนำไปใช้ลดหย่อนภาษีได้ ซึ่งจะทำให้มีการใช้จ่ายในระบบอย่างน้อย 30,000-50,000 ล้านบาท ที่จะกระตุ้นการใช้จ่ายในช่วง ปีใหม่ โดยที่รัฐบาลไม่ต้องใช้เงินงบประมาณ แต่จะทำให้สูญเสียรายได้จากภาษีราว 7,000-10,000 ล้านบาท
พร้อมเสนอแนะว่า คณะกรรมการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ที่มีนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ควรจะหาความท้าทายทำให้เศรษฐกิจไทยปีหน้าขยายตัวเกิน 3% เพื่อสร้างโมเมนตัมให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้โดดเด่น และน่าสนใจ เนื่องจากหลายประเทศมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจมากกว่า 4%
*** ปิดท้ายกันที่...ชุมนุมนักเรียนเก่ามหาวชิราวุธ ขอเชิญร่วมทําบุญ อุทิศส่วนกุศล แด่ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ พร้อมคุณครู และนักเรียนเก่ามหาวชิราวุธ ที่ล่วงลับไปแล้วทุกท่าน วันเสาร์ที่ 30 พฤศจิกายน 2567 ณ วัดบวรนิเวศวิหาร ราชวรวิหาร กรุงเทพมหานคร เวลา 10.00-12.00 น. นายศุภวัฒน์ ไตรวนาธรรม ( รุ่นลูกวชิระ82 ) ประธานจัดงาน ขอเรียนเชิญทุกท่าน
*** อีกงาน วันเสาร์ที่ 30 พฤศจิกายน 2567 เวลา 17.00-22.00 น. นายศุภวัฒน์ ไตรวนาธรรม (รุ่นลูกวชิระ 82) ประธานจัดงาน ขอเชิญร่วมกิจกรรมครั้งที่ 42 ชุมนุมนักเรียนเก่ามหาวชิราวุธ MAHAVAJIRAVUDH SONGKHLA SCHOOL Party งานเลี้ยงสังสรรค์ ณ หอประชุม กองทัพเรือ เขตบางกอกใหญ่ กรุงเททพฯ