*** ว่าด้วยเรื่องเศรษฐกิจ ดูที่ตัวเลข ดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒฯ บอกเศรษฐกิจไตรมาส 3 ปีนี้ ขยายตัว 3% จากไตรมาสก่อนหน้าที่ 2.2 % ทำให้ 9 เดือนแรก รวมแล้วจีดีพีขยายตัว 2.3% ภาคเกษตรชะลอตัวต่อเนื่อง นอกภาคเกษตรโตได้ การบริโภคชะลอ ประเมินทั้งปีโตได้ 2.6% อัตราเงินเฟ้อคาดว่าจะอยู่ที่ 0.5% และดุลบัญชีเดินสะพัดจะเกินดุล 2.5% ชองจีดีพี
ประเมินข้ามไปปี 2568 เศรษฐกิจจะขยายได้ในอัตรา 2.3- 3.3% กลางๆ อยู่ที่ 2.8 % แต่ภาครัฐต้องเพิ่มรายจ่าย เอกชนต้องใช้จ่ายมากขึ้น ท่องเที่ยวต้องฟื้นดี ส่งออกต้องมา การลงทุนเอกชนต้องหนุน ก็น่าจะได้ตามนั้น ถ้าจะให้มากกว่าต้องทำเพิ่ม
*** ไตรมาส 3 จีดีพีโตได้ 3% ก็จริง แต่หากเทียบกับประเทศในระนาบเดียวกัน หรือใกล้เคียงกัน ไปดูกันได้ เทียบให้กันชัดๆ เวียดนาม 7.4% ฟิลิปปินส์ 5.2% มาเลเซีย 5.3% อินโดนีเซีย 3.9% สิงคโปร์ 4.1% ไต้หวัน 4% จีน 4.6% ไทยตามหลังคนอื่นเขาทั้งนั้น ไม่ต้องเทียบพวกโตน้อยกว่าไทย อันนั้นเศรษฐกิจเขาใหญ่ ฐานเขากว้างมากมายหลายเท่า
ฉะนั้นชี้ให้เห็นว่า เศรษฐกิจไทยยํ่ากับที่ คนอื่นฟื้นแบบพุ่งกระฉูดก็เป็นไปตามนั้นโดยไม่ผิดไปเท่าใดนัก ปมจริงๆ ที่ไทยไม่ก้าวไปไหน ใครๆ ก็รู้ ติดกับดัก ติดหล่มมาหลายปี เพราะความเชื่อมั่นไม่มี มัวแต่ตีกันเรื่องการเมือง การบังคับใช้กฎหมาย กระบวนการยุติธรรมไม่เสมอภาค การคอร์รัปชันเหมือนจะสะพรั่ง ทำให้กลไกที่ควรจะเดินให้ปกติ กลับไม่ปกติ เป็นอย่างนี้เหมือนมะเร็งร้ายที่ลุกลามรวดเร็ว
*** สภาพัฒน์ยังแนะให้ด้วย แนวทางการกระตุ้นเศรษฐกิจท้ายปีนี้ เพื่อให้เข้าเป้า ต้องดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบพุ่งเป้ามากขึ้น แจกเงินหมื่นไปแล้ววัดยากผลเท่าไร เอาเป็นว่า ดูแลการส่งออกให้ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ปกป้องภาคการผลิตจากการทุ่มตลาดและการใช้นโยบายการค้าที่ไม่เป็นธรรม เข้มงวดนำเข้า กำกับดูแลผู้ประกอบการออนไลน์ต่างประเทศ ตามด้วยเคลื่อนการลงทุนภาคเอกชน
ดูแลเกษตรกรและสนับสนุนการปรับตัวในการผลิตภาคเกษตร ช่วยเหลือธุรกิจ SMEs ที่ประสบปัญหาสภาพคล่อง เนื่องจากคุณภาพสินเชื่อปรับลดลงต่อเนื่อง ปรับโครงสร้างหนี้ภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจอย่างต่อเนื่อง หลายเรื่องท้าทายให้ทำ และต้องทำอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะสินค้านอกตีสินค้าไทย ทั้งภาคบริการ ภาคการผลิต ส่อแววถูกสอยร่วง ไปไม่กลับ หลับไม่ตื่นแล้ว ฯพณฯท่าน
*** ตัวเลข 3% ไตรมาส 3 ตามที่ว่าก็บ่งบอกเศรษฐกิจแผ่วๆ ฝืดๆภาษาชาวบ้านช่วงนี้ล้วงกระเป๋าแล้วยังไม่มีตังค์ เมื่อเศรษฐกิจไม่ดี แน่นอนปัญหาอาชญากรรมย่อมตามมา ลัก วิ่ง ชิง ปล้น ยาเสพติด อันนี้ นายใหญ่ ทักษิณ ชินวัตร ผู้ช่วยหาเสียงพรรคเพื่อไทยบอกเอง “ผมกลับมาแล้ว พวกค้ายาทั้งหลายระวังกันไว้ให้ดีๆ” ว่าที่จริงก็ต้องขันน็อตกันหลายจุด ไม่ใช่ว่าที่ผ่านมาปล่อยปละละเลยในการจับปราบ แต่สภาพแวดล้อม มีส่วนเอื้อให้ขยายตัวมากขึ้น ฉะนั้น ตำรวจต้องเข้มแข็ง ในการจับกุม คุมขังกับอาชญากรรมพวกนี้ให้เด็ดขาด ไม่ใช่มัวแต่ตั้งด่านมุ่งจัดการเฉพาะเมาแล้วขับเป็นงานหลัก
*** นายกฯอิ๊งค์ แพทองธาร ชินวัตร กลับจากเปรูไปประชุมกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (เอเปค) ที่เปรูเที่ยวนี้ได้มีโอกาสจับไม้จับมือหารือกับ ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ก็หารือกันบ้างในเวลาสั้นที่ได้พบปะ ปีหน้าไทย-จีน จะเฉลิมฉลองความสัมพันธ์ครบรอบ 50 ปี จะมอบหมีแพนด้ายักษ์มาประเทศไทยอีกครั้ง ยืนยันพร้อมส่งเสริมความร่วมมือต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติ Online scam ระหว่างกัน และสนับสนุนไทยเข้าร่วมกลุ่ม BRICS ให้ด้วย ขณะที่ไทยพร้อมเรียนรู้รูปแบบการพัฒนาประเทศของจีน ในการลดความยากจน รวมทั้งเทคโนโลยีต่างๆ
*** ปิดท้ายกันที่... จีระศักดิ์ มานะตระกูล ซีอีโอ MPJ หรือ บมจ. เอ็ม พี เจ โลจิสติกส์ ออกมายืนยันว่า ผู้ถือหุ้นใหญ่ของ MPJ ยังถือหุ้นครบทั้งหมดทุกคน ไม่มีการขายหุ้นเดิมออกแต่อย่างใด โดยบริษัทฯได้ปิดทะเบียนรายชื่อผู้ถือหุ้นล่าสุด เมื่อวันที่ 8 พ.ย. 2567 หลังจากหุ้นเข้าซื้อขายแล้ว พร้อมยํ้าว่าในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่กว่า 55% หุ้นทั้งหมดติดไซเล้นท์ ไม่สามารถซื้อขายได้ และ ผู้ถือหุ้นเดิมอีก 2 ครอบครัวที่ถือหุ้นรวมกันประมาณ 18% ยังถือหุ้นครบจำนวนเหมือนก่อนหุ้นเข้าเทรด เนื่องจากมั่นใจในพื้นฐานธุรกิจที่มั่นคง และมีการขยายกิจการอย่างต่อเนื่อง
โดย บริษัทฯ จะเปิดลานตู้คอนเทนเนอร์แห่งที่ 3 เพิ่มในปีหน้า และลงทุนสร้างคลังสินค้าขนาดใหญ่ให้เช่าเพิ่ม ซึ่งคาดว่าจะทำให้มีผลประกอบการที่เติบโตต่อเนื่อง อีกทั้ง บริษัทฯ มีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิอีกด้วย ล่าสุด ในงวด 9 เดือนแรกปีนี้ MPJ มีรายได้เติบโต 12% เป็น 745 ล้านบาท และ มีกำไรสุทธิเติบโต 19% เป็น 69.15 ล้านบาท ตามความคาดหมาย ...ขอให้นักลงทุนและผู้ถือหุ้นมั่นใจในพื้นฐานธุรกิจโลจิสติกส์ที่มั่นคงและพร้อมจะเติบโตทุกปี