พาณิชย์จีนยัน นัดเจรจาการค้ารอบใหม่กับสหรัฐฯต้นต.ค.นี้

05 ก.ย. 2562 | 05:31 น.

กระทรวงพาณิชย์จีนยืนยันแล้วว่า หัวหน้าคณะเจรจาการค้าจีน-สหรัฐฯได้โทรศัพท์คุยกันเช้านี้ (5 ก.ย.) และตกลงที่จะมีการเจรจาคลี่คลายปมพิพาททางการค้ากันในช่วงต้นเดือนตุลาคม โดยคณะเจรจาฝั่งจีนนั้นนำโดยนายหลิว เหอ รองนายกรัฐมนตรี และฝ่ายสหรัฐฯได้แก่ นายโรเบิร์ท ไลท์ไฮเซอร์ ผู้แทนการค้า (ยูเอสทีอาร์) และนายสตีเว่น มนูชิน รัฐมนตรีคลัง

สามบุคคลสำคัญในการเจรจาการค้าจีน-สหรัฐฯ นายหลิวเหอ (ขวาสุด) หัวหน้าคณะเจรจาฝ่ายจีน และนายโรเบิร์ท ไลท์ไฮเซอร์ และนายสตีเว่น มนูชิน (ซ้ายสุดและกลาง) หัวหน้าคณะฝ่ายสหรัฐฯ

ในถ้อยแถลงของกระทรวงพาณิชย์จีนระบุว่า ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะเปิดโต๊ะเจรจาการค้ากันอีกครั้งที่กรุงวอชิงตัน ดีซี ในช่วงต้นเดือนตุลาคม แต่ก่อนหน้านั้น จะมีการประชุมเตรียมการในระดับเจ้าหน้าที่ก่อนราวๆกลางเดือนกันยายนนี้ “ทั้งสองฝ่ายเห็นตรงกันว่าจะต้องทำงานร่วมกันและเตรียมการในเชิงปฏิบัติที่เกื้อหนุนต่อการเจรจา"  อย่างไรก็ตาม เกี่ยวกับเรื่องนี้ ทางโฆษกของยูเอสทีอาร์ยืนยันว่ามีการโทรศัพท์คุยกันจริงระหว่างผู้นำคณะเจรจา โดยยูเอสทีอาร์รับทราบว่า ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะมีการประชุมระดับรัฐมนตรีที่กรุงวอชิงตันฯในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า จากนั้นการหารือในระดับรองนายกฯจะมีขึ้นในช่วงกลางเดือนกันยายน เพื่อปูพื้นฐานไปสู่พัฒนาการที่คืบหน้า


 

ก่อนหน้านี้ มีข่าวออกมาว่าจีนและสหรัฐฯมีกำหนดเจรจาการค้ากันที่กรุงวอชิงตันฯในเดือนกันยายนแต่การยกระดับมาตรการตอบโต้ทางการค้าที่เข้มข้นขึ้นในไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้เกิดความวิตกกันว่าทั้งจีนและสหรัฐฯยังจะเดินหน้าเจรจาหาวิธีสงบศึกการค้ากันอีกต่อไปหรือไม่ เพราะล่าสุดเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2562 ทั้งจีนและสหรัฐฯก็เพิ่งเก็บภาษีนำเข้าสินค้าของกันและกันในอัตราที่สูงขึ้นคิดเป็นมูลค่ารวมกันกว่าแสนล้านดอลลาร์ซึ่งครอบคลุมทั้งสินค้าอุปโภคบริโภค สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ และสินค้าการเกษตรเป็นจำนวนมาก กระทั่งสมาคมธุรกิจในนาม American for Free Trade ที่มีสมาชิกจากกลุ่มธุรกิจการค้าของสหรัฐฯ 160 องค์กรด้วยกัน ต้องออกมายื่นจดหมายต่อประธานาธิบดีสหรัฐฯเรียกร้องให้ระงับมาตรการขึ้นภาษีสินค้าจีน เนื่องจากในการเก็บภาษีศุลากรนำเข้าสินค้าจีนเพิ่มขึ้น 15% ระลอกล่าสุด วงเงิน 112,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จะส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าที่ผู้บริโภคต้องใช้ในชีวิตประจำวันไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย รองเท้า หรืออุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งจะมีผลต่อการจับจ่ายใช้สอยในช่วงเทศกาลปลายปี

 

ทั้งนี้ ในวันที่ 15 ธ.ค. สหรัฐฯยังมีแผนจะจัดเก็บภาษีเพิ่ม 15% กับสินค้าอีกกลุ่ม วงเงิน 160,000 ล้านดอลลาร์ “การขึ้นภาษีครั้งนี้ เกิดขึ้นในช่วงที่เลวร้ายที่สุด นั่นคือท่ามกลางฤดูกาลแห่งการสั่งซื้อสินค้าเพื่อนำมาจำหน่ายในช่วงเทศกาลปลายปี” เนื้อหาของจดหมายที่กลุ่มองค์การธุรกิจ American for Free Trade ที่ยื่นเสนอต่อประธานาธิบดีทรัมป์เมื่อเร็วๆนี้ระบุ พวกเขาจึงหวังว่าผู้นำสหรัฐฯจะพิจารณาเห็นถึงความสำคัญของเรื่องนี้ เนื่องจากความมั่นใจในการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคคือพลังขับเคลื่อนที่สำคัญของเศรษฐกิจสหรัฐฯในภาพรวม