นายนรุตม์ เจียรสนอง รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาด บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจโรงหนังเมืองไทยมองว่า น่าจะฟื้นตัวในช่วงไตรมาส 3 เนื่องจากเป็นเริ่มมีภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์เข้ามาหลายเรื่องทั้ง มู่หลาน , Tenet เป็นต้น ขณะที่ช่วงไตรมาส 4 จะมีภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์มากมาย เข้าฉายชนิดที่ว่าสัปดาห์เว้นสัปดาห์ อาทิ black widow, Wonder Woman 2 เป็นต้น ซึ่งจะมีข้อดีคือทำให้ลูฏค้ากลับมา และประชาชนเกิดควมเชื่อมั่นมากขึ้น พร้อมทั้งออกมาชมภาพยนตร์ซึ่งเป็นสิ่งที่ประชาชนอัดอั้นมานาน โดยบริษัทเชื่อมั่นว่าจากช่วงครึ่งปีหลังดังกล่าวจะมีรายได้กลับมาจากการหายไปในช่วงที่มีมาตรการล็อกดาวน์
“เรายังคงเดินหน้าตามแผนลงทุนเดิมคือ การขยาย 40 จ่อต่อปี โดยจะเน้นในเขตต่างจังหวัด ไม่ว่าจะเป็น เทสโก้ โลตัส,บิ๊กซี ควบคู่กับการเน้นขยายภาพยนตร์ไทยตามภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็น ภาพยนตร์อีสาน,ภาพยนตร์ทางภาคใต้ เป็นต้น เพื่อเป็นการกระตุ้นการเข้าชมภาพยนตร์ซึ่งถือว่าได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี”
นอกจากนี้ยังได้จับมือกับ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) เอไอเอส นำเทคโลโลยีดิจิทัลที่สอดรับกับไลฟ์สไตล์ยุค New Normal หุ่นยนต์อัจฉริยะทำหน้าที่ต้อนรับและเปิดให้ชมภาพยนตร์ตัวอย่างที่กำลังเข้าฉายให้ลูกค้าได้รับชมก่อนตัดสินใจเลือกชม ที่ โรงภาพยนตร์พารากอน ซีนีเพล็กซ์ และไอคอน ซีเนคอนิค พร้อมกันนี้ยังได้สร้างความมั่นใจลูกค้าดูหนังด้วย 5 มาตรการหลักขั้นสูงสุด ดังนี้ 1. Screening การตรวจคัดกรองลูกค้าทุกคน ด้วยการวัดอุณหภูมิ ให้สวมใส่หน้ากากอนามัย ล้างทำความสะอาดมือด้วยเจลแอลกอฮอลล์ก่อนเข้าใช้บริการ 2. Social Distancing การเว้นระยะห่างทางสังคม ตั้งแต่การเข้าแถวรอคิวทุกจุดที่เข้าใช้บริการไปจนถึงการเว้นแถวในโรงภาพยนตร์ โดยจัดนั่งระหว่างแถวแบบสลับฟันปลา 3. Cleaning การทำความสะอาดทุกจุดพื้นที่และภายในโรงภาพยนตร์ก่อนเข้าฉายแต่ละเรื่องทุกรอบ 4. Cashless เลี่ยงการแพร่เชื้อด้วยการลดสัมผัส ด้วยการใช้จ่ายโดยไม่ใช้เงินสด ทั้งการซื้อตั๋วหนัง ป๊อปคอร์นและน้ำ สามารถทานในโรงภาพยนตร์ได้ 5. Tracking การติดตามและตรวจสอบได้ มีการเช็คอิน-เช็คเอาท์ของลูกค้า เพื่อสะดวกในการติดตาม
ด้านนางสาวพิมสิริ ทองร่มโพธิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท เอส เอฟ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า หลังจากรัฐบาลได้ประกาศมาตรการผ่อนปรนระยะที่ 3 ทำให้ธุรกิจโรงภาพยนตร์กลับมาเปิดให้บริการได้อีกครั้ง หลังจากบริษัทได้ปิดให้บริการชั่วคราวตั้แต่วันที่ 18 มีนาคม 2563 หรือประมาณ 75 วัน ซึ่งทำให้บริษัทไม่มีรายได้ โดยการกลับมาเปิดให้บริการอีกครั้งก็ไม่สามารถจำหน่ายตั๋วได้เต็มที่ เนื่องจากยังคงอยู่ในมาตรการเว้นระยะห่าง จึงต้องจัดที่นั่งเพื่อความเหมาะสมและความปลอดภัยต่อการแพร่เชื้อโควิด-19 รวมถึงการใช้มาตรการเคอร์ฟิว ส่งผลให้รอบฉยหายไป 2 รอบ จากปกติอยู่ที่ 5 รอบต่อวัน และรอบสุดท้ายจะอยู่ที่เวลาประมาณ 6.15 น. เพราะต้องจัดเวลาให้พนักงานและลูกค้าสามารถกลับบ้านได้ทันเวลาเคอร์ฟิว
“หากไม่มีปัจจัยลบเข้ามาเกี่ยวข้อง ภาพรวมธุรกิจโรงภาพยนตร์น่าจะฟื้นได้ในช่วงไตรมาส 3-4 เป็นต้นไป เนื่องจากเป็นช่วงที่มีภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์เข้าฉายจำนวนมาก หลังจากเลื่อนรอบการฉายมาตั้งแต่ช่วงต้นปี
นอกจากนี้ โรงภาพยนตร์ในเครือ เอส เอฟ จะไม่มีการปรับราคาบัตรชมภาพยนตร์ขึ้น แม้ว่าจะมีต้นทุนที่สูงขึ้นจากจำนวนรอบฉายที่ลดลง และจากการลดที่นั่งเหลือเพียง 25% เนื่องจาก เอส เอฟ ไม่มีนโยบายผลักภาระต้นทุนให้กับลูกค้า เช่นเดียวกับในสภาวะปกติที่ยังคงฉายหนังและให้บริการแม้จะมีผู้ชมเพียงคนเดียว อย่างไรก็ตาม หลายคนยังกังวลว่าหลังจากนี้จะมีภาพยนตร์เข้าฉายหรือไม่ เอส เอฟ ยืนยันว่าค่ายภาพยนตร์ทุกค่ายยังพร้อมสนับสนุนและนำภาพยนตร์ทั้งไทยและต่างประเทศเข้าฉาย รวมถึงมีภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่อีกหลายเรื่อง ที่จะทยอยเข้าฉายตลอดทั้งปีแน่นอน
“ที่ผ่านมาทุกธุรกิจและทุกคนได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เราจำเป็นต้องให้กำลังใจกันและกัน ปรับตัว และช่วยเหลือกัน เพื่อที่จะก้าวผ่านเรื่องนี้ไปให้ได้ สำหรับ เอส เอฟ แม้เราจะไม่มีรายได้เลยตลอดเกือบ 3 เดือน แต่เรายังยืนยันที่จะรักษาและดูแลพนักงานของเราทุกคน เช่นเดียวกับการดูแลลูกค้าอย่างดีที่สุด เราเข้าใจว่าความกังวลของลูกค้าไม่ใช่เรื่องผิด เพราะหน้าที่ของทุกคนก็ยังต้องช่วยกันยับยั้งการแพร่ระบาด แต่เป็นหน้าที่ของเราเองที่ต้องสร้างความมั่นใจให้ลูกค้า”