มีผู้ให้นิยามว่า รัฐบุรุษคือ บุคคลผู้ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งสำคัญในการบริหารราชการแผ่นดิน ในฐานะผู้นำทางการเมือง หรือทางทหาร โดยได้ประกอบคุณงามความดี ปฏิบัติราชการอย่างเต็มกำลังความสามารถ ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ช่วยเหลือและจงรักภักดีต่อชาติ จนเป็นที่ประจักษ์โดยทั่วไป ประเทศไทยเคยมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ยกย่องบุคคลเป็นรัฐบุรุษมาแล้วสองท่านคือ 1. รัฐบุรุษอาวุโส นายปรีดี พนมยงค์ เมื่อ 8 ธันวาคม 2488 2. พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ได้รับยกย่องเป็นรัฐบุรุษ เมื่อ 29 สิงหาคม 2531
คุณสมบัติสำคัญประการหนึ่งของความเป็นรัฐบุรุษ ซึ่งจะขาดเสียมิได้คือ ความเป็นผู้นำในภาวะวิกฤติ และความสามารถในการนำพาชาติ ประเทศ หรือโลกให้ก้าวพ้นภาวะวิกฤตินั้นๆ ไปได้ด้วยดี ต้องเป็นผู้สร้างคณูปการอันยิ่งใหญ่แก่อนุชนรุ่นหลัง ยังประโยชน์แก่ประเทศชาติ อย่างมั่นคงและยั่งยืน
ช่วงเวลา 6 ปีเศษ ที่ผ่านมา นับแต่เหตุการณ์เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 เป็นต้นมาถึงปัจจุบัน เป็นเวลาของสถานการณ์สร้างวีรบุรุษโดยแท้ เพราะก่อนเกิดการรัฐประหาร โดย คสช. ต้องยอมรับว่าสังคมไทยได้เกิดความขัดแย้งทางการเมืองรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ จากการเมืองที่สันติ พัฒนากลายเป็นสงครามการเมือง มีเหตุความรุนแรงถึงขั้นจลาจล มีเหตุยิง โยนระเบิดสังหาร ฆ่ากันกลางเมือง จากการชุมนุมทางการเมืองของประชาชน ตามสิทธิ เสรีภาพภายใต้รัฐธรรมนูญ กลายเป็นถูกฝ่ายสนับสนุนรัฐบาล มีกองกำลังใช้อาวุธสงครามร้ายแรง ออกมาทำลายล้างเข่นฆ่าประชาชน ผู้บริสุทธิ์ต้องล้มตายบาดเจ็บจำนวนมาก เหตุความขัดแย้งและความวุ่นวายทางการเมือง ได้ยืดเยื้อเรื้อรังต่อเนื่องมายาวนานร่วม 10 ปี สถานการณ์ฉุดรั้งประเทศให้ติดหล่ม ส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจ และความสงบสุขในสังคมอย่างรุนแรง โดยไม่มีทีท่าว่าจะยุติหรือจบลงได้อย่างไร อนาคตประเทศตกอยู่ในความมืดมนไร้ทางออก มีแต่เหตุความไม่สงบสุข
การตัดสินใจใช้กำลังของกองทัพ เข้าควบคุมอำนาจการปกครองของ คสช.ที่นำโดย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และคณะ จึงถือเป็นก้าวแรกของการแสดงบทบาทความเป็นผู้นำ ที่กล้าเข้ามาแก้ไขปัญหาและยุติวิกฤติร้ายแรงในประเทศขณะนั้น แม้จะมิได้เป็นไปตามวิถีทางตามระบอบประชาธิปไตย แต่สถานการณ์ก็ไม่มีทางเลือกเป็นอื่น ผลที่ทำให้ประเทศหลุดพ้นจากหลุมดำทางการเมือง เดินหน้าประเทศไทย มาได้ด้วยความสงบ มีเวลาในการพัฒนาชาติบ้านเมืองให้ก้าวหน้ามาได้ดังที่เห็นและเป็นอยู่ ย่อมนับได้ว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา มีส่วนสำคัญในการนำพาชาติให้พ้นวิกฤติ ทำให้ประเทศมีเวลาและโอกาสในการฟื้นฟูทางเศรษฐกิจ พัฒนาประเทศอีกครั้ง
บททดสอบภาวะผู้นำครั้งสำคัญของ พลเอกประยุทธ์ อีกครั้งหนึ่ง คือต้องเผชิญกับการรับมือและแก้ปัญหา อันเนื่องมาจากการเกิดโรคระบาดร้ายแรงของเชื้อไวรัสโคโรนา หรือ โควิด-19 ที่ระบาดไปทั่วโลก มีผู้ติดเชื้อถึงขณะนี้เกือบสิบล้านคน มีผู้เสียชีวิตร่วม 5 แสนราย ทุกประเทศทั่วโลกต่างเผชิญหน้ากับสถานการณ์วิกฤติร้ายแรงด้วยกันทั้งสิ้น
การรับมือกับวิกฤติโควิด-19 ที่คุกคามต่อชีวิตมนุษยชาติทั่วโลก ที่ส่งผลกระทบร้ายแรงต่อวิถีชีวิตและปัญหาทางเศรษฐกิจ สร้างความสูญเสียทางเศรษฐกิจที่ร้ายแรงที่สุดกว่าวิกฤติใดๆ การรับมือและจัดการแก้ปัญหานี้ จึงเป็นบททดสอบภาวะความเป็นผู้นำทั่วโลก แต่ประเทศไทยภายใต้การนำของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ก็สามารถแก้ไขปัญหาและนำพาประเทศไทย นำคนไทย ก้าวพ้นวิกฤติไปได้ด้วยดีเกินคาด เหนือความคาดหมาย สามารถหยุดยั้งการแพร่เชื้อโควิด 19 และลดจำนวนการสูญเสียชีวิตของประชาชนได้อย่างน่าพอใจอย่างยิ่ง เป็นที่ยอมรับชื่นชมจากทั่วโลกว่าไทยเป็นประเทศที่รับมือและจัดการกับปัญหานี้ ได้ดีอยู่ในอันดับ 1 ของเอเชีย ดีเป็นอันดับ 2 ของโลก
จึงนับได้ว่า นี่คือการแก้ปัญหาวิกฤติ ที่สามารถนำพาชาติพ้นภัย ด้วยภาวะความเป็นผู้นำที่สมควรได้รับเครดิตและการยกย่อง เป็นผลงานโดดเด่นที่ทำให้ความนิยมและบารมีความเป็นผู้นำของ พลเอกประยุทธ์ สูงเด่นยิ่งขึ้นทั้งในและต่างประเทศโดยลำดับ เหนือกว่าฝ่ายค้านฝ่ายแค้นแบบทิ้งห่างสร้างศรัทธา และการยอมรับจากประชาชนอย่างสูงสุด นับแต่เป็นนายกรัฐมนตรี ผลโพลความนิยมชี้วัดว่าเป็นที่พอใจของประชาชน
การผ่านพ้นวิกฤติครั้งสำคัญดังกล่าว ท่ามกลางการต่อต้านค่อนแคะ ของพวกรังเกียจลุงตู่ เผชิญกับการโจมตีหรือการเคลื่อนไหวทุกรูปแบบ ของฝ่ายค้านฝ่ายแค้นแต่ “ลุงตู่” ของหลานๆ และนายกฯ ของชาวบ้าน ก็มิได้ให้ความสำคัญหรือนำพา ไม่ต่อปากต่อคำเหมือนก่อน มุ่งมั่นทำงานให้ประชาชน แถมปรับลุคจากผู้นำแบบทหาร เป็นบุคลิก ผู้นำแบบประชาชน นำเสนอการต่อยอดเพื่อสร้างความร่วมมือและสร้างความสามัคคีของคนในชาติ ร่วมกันสร้างชาติพัฒนาประเทศ สยบข่าวความวุ่นวายในพรรคพลังประชารัฐ ยุติข่าวการวิ่งเต้นแย่งตำแหน่งรัฐมนตรี
เส้นทางการเมืองของพลเอกประยุทธ์ เช่นนี้ จึงเริ่มมีการจับตามองว่า นายกรัฐมนตรีท่านนี้กำลังเดินหน้าเข้าใกล้ความเป็น “รัฐบุรุษ” ยิ่งขึ้น แต่จะไปถึงจุดนั้นได้หรือไม่ พลเอกประยุทธ์ ยังต้องผ่านด่านทดสอบที่ยิ่งใหญ่อีกหลายด่านเหมือนดั่งที่ ฯพณฯ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ผู้เป็น “รัฐบุรุษคู่แผ่นดิน” ที่อยู่ในใจประชาชนตลอดกาล ได้กระทำเป็นคุณูปการให้ได้เสียก่อน
นั่นคือการสร้างความสามัคคีและความปรองดองคนในชาติ เพราะนี่คือคุณสมบัติอันสำคัญและยิ่งใหญ่ที่สุด การสร้างความสามัคคีและการปรองดองคนในชาติ คือพันธกิจและสัญญาประชาคมที่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ประกาศดังๆ ต่อประชาชนทั้งแผ่นดิน นับแต่เข้าควบคุมอำนาจการปกครองประเทศ
แต่ถึงวันนี้ยังคงเป็นภารกิจตกค้างที่ พลเอกประยุทธ์ ยังทำไม่สำเร็จและก้าวไปไม่สุด ความกล้าหาญในการนิรโทษกรรมประชาชนที่ต้องคดีทางการเมือง เปิดโอกาสให้พี่น้องประชาชนที่หนีภัยทางการเมือง ได้มีโอกาสกลับคืนสู่อ้อมกอดของแผ่นดิน เพื่อกลับมาร่วมกันพัฒนาชาติบ้านเมือง และภารกิจการปฏิรูปทางการเมือง เพื่อสร้างหลักประกันให้กับการเมืองและการปกครองประเทศที่ดีในอนาคต คือ ภารกิจอันยิ่งใหญ่ที่ท้าทาย จึงต้องอาศัยจิตใจอันสูงส่งของผู้นำประเทศ คือสภาวะธรรมของความเป็นรัฐบุรุษเท่านั้น ที่จะทำภารกิจนี้ให้สำเร็จได้
นี่คือโจทย์ข้อใหญ่สู่เส้นทางรัฐบุรุษ ของ พลเอกประยุทธ์ เป็นการบ้านที่ยังทำไม่เสร็จ วันนี้เป็นจังหวะของโอกาสและเวลาของท่านว่า เมื่อวันที่ต้องลงจากอำนาจ ท่านต้องการให้ประชาชนจดจำท่านอย่างไร ท่านจะเป็นเพียง “อดีตนายกฯ” คนหนึ่งหรือจะเป็น พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา “อดีตนายกรัฐมนตรีและรัฐบุรุษ” ขึ้นอยู่กับเส้นทางที่ท่านเลือกเดิน ว่าจะอยู่อย่างยิ่งใหญ่และจากไปอย่างมีเกียรติหรือไม่ เป็นเส้นทางที่ท่านเลือกเอง