"คดีน้องชมพู่"ตำรวจยืนยันไม่ได้เสียชีวิตเอง

02 ต.ค. 2563 | 09:59 น.

ผบตร.คนใหม่ "พล.ต.อ.สุวัฒน์" แถลงข่าว"คดีน้องชมพู่" เผยไม่ได้เสียชีวิตเอง แต่วันนี้ยังตอบคำถามไม่ได้ว่าใครเป็นผู้ก่อเหตุ พร้อมยืนยันน้องชมพู่ไม่สามารถเดินขึ้นไปบนจุดพบศพบนภูเขาได้ด้วยตนเอง

วันที่ 2 ตุลาคม 2563 พลตํารวจเอกสุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แถลงข่าวความคืบหน้าคดีการเสียชีวิตของน้องชมพู่ โดยเปิดเผยว่า ตำรวจได้ตั้งสมมติฐานในการดำเนินคดีฐานพรากเด็กและกักขังหน่วงเหนี่ยวเป็นเหตุให้เสียชีวิต และซ่อนเร้นอำพรางศพ 


"แม้ว่าจนถึงขณะนี้ จะยังไม่มีพยานหลักฐานเพียงพอในการออกหมายจับผู้ใดได้ และแม้จะพยายามรวบรวมพยานหลักฐานมานานถึง 4 เดือนก็ตาม โดยยืนยันว่าการสืบสวนสอบสวนยังไม่ยุติ เพราะคดีนี้มีอายุความ 20 ปี แม้ว่าตามระเบียบของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หากคดีไม่สามารถสรุปคดีได้ภายใน 1 ปี ตำรวจต้องส่งสำนวนให้อัยการ แต่คดีน้องชมพู่ตำรวจขอยืนยันว่า ยังอยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวนขยายผลตามอายุความ 20 ปีที่เหลืออยู่  จึงขอให้มั่นใจแม้ว่า วันนี้จะยังตอบคำถามไม่ได้ว่า ใครเป็นผู้ก่อเหตุในคดีนี้ แต่ตำรวจจะยังคงสืบสวนคดีต่อไป"


พลตํารวจเอกสุวัฒน์  เชื่อว่า น้องชมพู่ไม่ได้เดินขึ้นไปเสียชีวิตเองแต่อาจถูกบุคคลใดที่รู้จักกันทั้งทางตรง หรือ ทางอ้อมทำให้เสียชีวิต  ส่วนคำถามที่ว่า นายไชย์พล วิภา หรือ ลุงพล เป็นผู้เกี่ยวข้องในคดีนี้หรือไม่นั้น เนื่องจากตามพยานหลักฐาน ตำรวจยังไม่สามารถยืนยันได้ว่า ใครเป็นผู้ก่อเหตุในคดีนี้ และยังไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหากับบุคคลใด ดังนั้นทุกคนถือเป็นผู้บริสุทธิ์หมด 

 

นายไชย์พล วิภา หรือลุงพล
"ส่วนที่มีการระบุว่า นายไชย์พล เป็นจำเลยสังคม ต้องถามกลับไปว่าใครเป็นผู้กำหนดให้นายไชย์พล เป็นจำเลยสังคม"
 

พลตํารวจเอกสุวัฒน์ กล่าวเพิ่มเติมเกี่ยวกับกรอบการสืบสวน โดยมีสมมติฐาน 3 ข้อ คือ ผู้ก่อเหตุต้องเป็นคนใกล้ชิดกับน้องชมพู่ หรือ น้องชมพู่ถูกบังคับพาตัวไป หรือเป็นไปได้ทั้งสองอย่าง นอกจากนี้ ยังมั่นใจว่า ผู้ก่อเหตุต้องมีความเชี่ยวชาญในพื้นที่รู้จักภูเขาที่พบศพอย่างดี ส่วนแรงจูงใจในการก่อเหตุ ตำรวจคงต้องสอบสวนขยายผลต่อทั้งประเด็น แรงจูงใจในเรื่องการล่วงละเมิดทางเพศ หรือความขัดแย้งของบุคคลใกล้ชิดกับน้องชมพู่


"ยอมรับว่า มีบุคคลต้องสงสัยอยู่ในใจ แต่ทั้งนี้ คงไม่สามารถเปิดเผยได้  โดยยอมรับว่าคดีนี้เป็นที่สนใจของสังคม จึงทำให้การสืบสวนคดีทำได้ยาก เพราะมีกลุ่มบุคคลจำนวนมากเข้าไปเกี่ยวข้องในพื้นที่ แต่ย้ำว่า ตำรวจจะยังคงสืบสวนและเก็บรวบรวมพยานหลักฐานในคดีนี้ต่อไป"

พลตำรวจเอก สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แถลงข่าวคดีน้องชมพู่วันที่ 2 ตุลาคม2563
ทังนี้มีการเปิดเผยผลการชันสูตรและ​พอจะระบุช่วงเวลาการเสียชีวิตได้ว่า น้องชมพู่ เสียชีวิตในช่วงเวลาประมาณ 14.00 น. ของวันที่ 12 พฤษภาคม จนถึงช่วงเวลาประมาณ 14.00 น.ของวันที่ 13 พฤษภาคม และแพทย์ ยังระบุอีกว่า ไม่พบร่องรอยบาดแผลที่ทำให้เสียชีวิต และไม่พบร่องรอยการถูกล่วงละเมิดทางเพศแต่จากการสอบสวน แพทย์ผู้ชันสูตร​ฯ ให้ความเห็นว่าน้องชมพู่ อาจเสียชีวิตจากการขาดน้ำและอาหาร และยอมรับว่า การชันสูตรศพของน้องชมพู่ทำได้ยาก เนื่องจากสภาพศพเริ่มเน่า


ส่วนผลการตรวจสอบเส้นผมที่พบในจุดเกิดเหตุ กองพิสูจน์หลักฐาน ได้นำเส้นผมดังกล่าว ไปตรวจสอบทางนิติวิทยาศาสตร์ โดยยืนยันได้ว่า นอกจากเส้นผมของน้องชมพู่แล้ว ยังพบเส้นผมของบุคคลอื่นในจุดเกิดเหตุ ที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับบุคคลทางฝั่งของแม่น้องชมพู่ แต่ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นของบุคคลใด


อย่างไรก็ตามการสืบสวนสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานได้มีการสัมภาษณ์พยานบุคคลจำนวน 384 ปาก และได้สอบปากคำเข้าสำนวนการสอบสวนจำนวน 120 ปาก, สอบปากคำผู้เชี่ยวชาญจำนวน 13 ปาก, เก็บวัตถุพยานที่เป็นหลักฐานสำคัญในคดีตรวจพิสูจน์แล้วจำนวน 113 ขึ้นโดยเป็นหลักฐานบนที่เกิดเหตุ 16 ชิ้น, เก็บตัวอย่าง DNA บุคคลจำนวน 154 ตัวอย่าง
 

โดย ณ เวลานี้สำนวนการสอบสวนมีความหนา 918 หน้า และเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2563 คณะพนักงานสอบสวนได้สรุปสำนวนชันสูตรพลิกศพที่ 3/2563 โดยสรุปข้อมูลที่ได้ทำการสืบสวนสอบสวนแล้วยืนยันว่า“ น้องชมพูไม่สามารถเดินขึ้นไปบนจุดพบศพบนภูเหล็กไฟได้ด้วยตนเอง มีเหตุผลสรุปดังนี้ 


1. เส้นทางที่ยากลำบากเกินความสามารถของน้องชมพู่มีเนินชันมากกว่า 60 องศา ขวางกั้นในทุกเส้นทาง

 

2. พลังงานจากอาหารมื้อสุดท้ายที่น้องชมพู่รับประทานไปไม่เพียงพอต่อการเดินไปบนจุดพบศพ

 

3. ประสบการณ์ชาวบ้านยืนยันว่าเด็ก 3 ขวบจะปีนป่ายไปถึงได้แค่ชั้นที่ 2 ของภูเหล็กไฟเท่านั้น

 

4. กรณีศึกษาการหลงป่าของนางทิน เชื้อคมตา ชาวบ้านกกตูมสามารถหาได้เจอภายในคืนเดียว

 

5. แพทย์ผู้ชันสูตรและกุมารแพทย์ยืนยืนว่าพัฒนาการของเด็กอายุ 3 ขวบไม่สามารถที่จะเดินขึ้นไปเองได้

 

 6. สภาพศพที่เปลือยกาย ซึ่งบิดาและมารดาของน้องชมพูยืนยันว่าน้องชมพูไม่สามารถถอดเสื้อเองได้

 

7. พยานหลักฐานในที่เกิดเหตุ ที่ตรวจพบเส้นผมน้องชมพู่ถูกตัดด้วยมีด เชื่อได้ว่าเป็นการกระทำของบุคคลอื่น

 

8. นิสัยส่วนตัวของน้องชมพู่ กลัวที่สูง และกลัวป่า ที่ผ่านมาของน้องชมพูไม่เคยไปในป่าหลังบ้านเลยสักครั้ง จึงเชื่อว่ามีผู้หนึ่งผู้ใดเป็นผู้พาน้องชมพูไปและทำให้น้องถึงแก่ความตายไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม ซึ่งผู้กระทำผิดนั้นจะต้องมีความผิดฐาน“ พรากเด็กและกักขังหน่วงเหนี่ยวเป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียชีวิตและมีความผิดในข้อหาซ่อนเร้นเคลื่อนย้ายทำลายและอำพรางศพ