นายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ JMART ใน ฐานะบริษัทโฮลดิ้ง ที่มีกลยุทธ์การลงทุนแบบ Investment Holding Company (IHC) เปิดเผยว่า ในปีนี้ กลุ่มเจมาร์ท ได้วางแผนการลงทุนใหม่ 2 โครงการเพื่อต่อยอดธุรกิจ ให้บริการทั้งด้านค้าปลีกและการเงิน โดยเน้นเทคโนโลยีเข้ามาสนับสนุน โดยโครงการแรก คือ แผนการเข้าลงทุน ขยายกิจการในกิจการด้านโลจิสติกส์ เพื่อเชื่อมโยงธุรกิจค้าปลีกของกลุ่มเจมาร์ท ทั้งหมดภายในประเทศ เช่น หน้าร้านของเจมาร์ท กว่า 200 สาขา สาขาของซิงเกอร์กว่า 7,000 สาขา สาขาของ ITJ และ JMT รวมกว่า 7,300 สาขา ซึ่งการลงทุนบริษัทมีโครงข่ายของระบบโลจิสติกสเ์ข้ามาเชื่อมโยงจุดต่างๆ จะทำให้สาขารายได้เพิ่มเติมรวมถึงการรับส่งสินค้าภายในกลุ่มจะทำให้ง่ายขึ้นปลายนิ้วสัมผัสของลูกค้าและงบประมาณเงินลงทุนที่ต่ำสำหรับกลุ่มเจมาร์ท เนื่องจากไม่ต้องลงทุนสาขาและทรัพยากรบุคคลและสามารถสร้างรายได้จากการขนส่งให้กับกลุ่มบริษัท ภายใน Ecosystem ที่มีอยู่ในปัจจุบัน
นอกจากนี้ JMT จะเป็นผู้จัดหาทรัพยากรในด้านอสังหาริมทรัพย์ เช่น ที่ดิน จาก NPA ในระบบ เพื่อสร้างผลตอบแทนของการลงทุนที่ดีที่สุดสำหรับการสร้าง Logistic Hub ของการดำเนินการดังกล่าว ทั้งนี้ การดำเนินงานดังกล่าวจะอยู่ภายใต้การพัฒนา Logistic Platform ทางด้านเทคโนโลยีซึ่งได้รับการ Support จาก เจ เวนเจอรส์ และพารท์ เนอร์
มั่นใจปี 2564 ผลประกอบการของบริษัทในกลุ่มจะสามารถทำกำไร All Time High ได้ต่อเนื่องอีกปี วางเป้าหมายปี 2564 เจมาร์ท จะเติบโต 50% ซึ่งยังไม่รวมธุรกิจใหม่ที่กลุ่มบริษัทจะต่อยอดการเติบโตในช่วงต่อจากนี้ และการปรับโครงสร้างการบริหาร เพื่อสร้าง Business Model ให้เป็นลักษณะ J-Curve ภายหลังจากการปิดดีลร่วมทุนใหญ่กับพันธมิตรระดับโลก ทั้ง เคบี คุกมินการด์ บริษัทผู้ให้บริการบัตรเครดิตเบอร์ต้น จากเกาหลีใต้ และ TIS Inc จาก ญี่ปุ่นติดปีกทั้งทางด้ายเงินทุนและเทคโนโลยีจากบริษัทระดับโลก
นอกจากนี้ กลุ่มเจมาร์ท ยังเตรียมรุกธุรกิจนายหน้าประกันภัยและการเงิน (Centralized Insurance and Finance Broker) จากจุดแข็งของกลุ่มเจมาร์ ที่มีฐานข้อมูลลูกค้าในระบบราว 6.7 ล้านคน และกลุ่มเจมาร์ท มีธุรกิจประกันภัย ได้แก่ บริษัท เจพี ประกันภัยจำกัด (มหาชน) ซึ่งจะเสริมแกร่ง ด้วยเทคโนโลยีจาก บริษัท เจเวนเจอรส์ จำกัดและ TIS Inc. ผลักดันให้กลุ่มเจมาร์ท รุก InsurTech คาดว่าจะเห็นภาพชัดภายในไตรมาส 4/2564
“การวาง Platform เรื่องโลจิสติกส์ และนายหน้าประกันภัยและสินเชื่อ เป็นสิ่งที่เจมาร์ทจะเติมเต็ม ศักยภาพของกลุ่มบริษัทที่มีทั้งในธุรกิจจัดจำหน่ายมือถือ ซิม AIS สินเชื่อส่วนบุคคล เครื่องใช้ไฟฟ้า และบริการ อื่นๆ ของกลุ่มเจมาร์ท จะเข้าไปใกล้กับผู้บริโภคมากขึ้น ในระดับจังหวัด อำเภอ และตำบลหรือในระดับหมู่บ้านเพื่อรองรับกับการปฏิวัติของเทคโนโลยี (Disruption) ของธุรกิจค้าปลีก และการเงิน และยุคของ Social Distancing ซึ่งจะเชื่อมโยงจากระบบ Online to Offline อย่างมีประสิทธิภาพ และเข้าถึงผู้บริโภค และเข้าใจความต้องการของ ผู้บริโภคให้มากที่สุด” นายอดิศักดิ์กล่าว
สำหรับผลการดำเนินงานปี2564 ยังคงมีธุรกิจด้านการเงินเป็นบริษัทที่สร้างฐานกำไรนำโดย บมจ.เจ เอ็มที (JMT) ที่คาดว่าจะสามารถบันทึกสถิติสูงสุดใหม่ได้ จากการที่ JMT สามารถบริหารหนี้และจัดเก็บหนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพรวมทั้งสามารถตัดต้นทุนกองหนี้ได้เพิ่มขึ้นเป็นปัจจัยสร้างฐานกำไรให้แข็งแกร่งโดยคาดว่า ปีนี้จะมีกองหนี้ที่มี มูลค่าเงินลงทุน แล้วอีกประมาณ 6,000 - 10,000 ล้านบาท จากปี 63 อยู่ที่ 43,000 ล้านบาท จึงคาดว่า JMT กำไรปีนี้จะเติบโตได้ก้าวกระโดด หรือเติบโตอย่างน้อย 30% ส่งผลดีต่อ JMART เนื่องจากถือหุ้น JMT สัดส่วน 52.8% สำหรับ บมจ.ซิงเกอร์ ประเทศไทย (SINGER) รุกปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อและสินเชื่อจำนำทะเบียนรถมากขึ้น โดยคาดว่าพอรต์สินเชื่อจะแตะที่ระดับ 10,000 ล้านบาทได้ในปลายปี2564 นี้และบมจ.เจ เอเอส แอสเซ็ท (J) จะมีโครงการศนูย์การค้าแห่งใหม่เปิดตัวในไตรมาส 4/2564 นี้ และพร้อมเชื่อมโยง NPA Ecosystem ของ JMT ซึ่งเป็นโครงการ Synergy ร่วมกันของบริษัทในกลุ่มที่สามารถสร้างกระแสรายได้จากอสังหาริมทรัพย์อีกมาก