ในเช้าอันสดใสของวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ผมตื่นขึ้นมาอย่างสดชื่น แต่ก็มีไลน์เข้ามาจากทางประเทศเมียนมา ทำให้ทุกอย่างดูมืดมนขึ้นมาทันตาเลยครับ เพราะเกิดการรัฐประหารเกิดขึ้นในประเทศเมียนมา พลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย ท่านได้นำกองทัพออกมาทำการปฎิวัติในเช้ามืดที่ผ่านมา ด้วยการจับกุมนักการเมืองของ NLD และผู้นำรัฐบาลที่กำลังจะตื่นขึ้นมาแต่งตัวไปทำการเปิดประชุมสมัยสามัญครั้งที่ 1 ในตอนเช้าวันนี้ สรุปคือทุกอย่างต้องถูกรีเซ็ตใหม่ทั้งหมดเลยครับ
ช่วงสายๆ ของวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ทางโฆษกฝ่ายความมั่นคง ก็ได้ออกมาประกาศเป็นครั้งแรก ถึงการยึดอำนาจการปกครอง โดยประกาศสภาวะฉุกเฉินเป็นเวลา 1 ปี นับจากนี้ไป อีกทั้งได้ประกาศให้ท่าน U Myint Swe เข้าทำการรักษาการประธานาธิบดีไปก่อน และจะให้มีการจัดการเลือกตั้งใหม่อีกครั้ง หากมีผู้ชนะการเลือกตั้งครั้งใหม่อย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม ก็จะให้จัดการจัดตั้งรัฐบาลใหม่อีกครั้ง อีกทั้งสิ่งที่จะต้องจับตาอย่างใกล้ชิดต่อสถานการณ์ในเมียนมาขณะนี้ ค่อนข้างจะเยอะมาก ผมคิดว่าเราคนไทยทุกคน คงจะติดตามข่าวกันมากพอสมควร เห็นได้จากการโทรศัพพ์เข้ามาอย่างมาก คงจะมีเรื่องวิเคราะห์กันอีกมากมายครับ
สิ่งที่ต้องจับตาเป็นพิเศษในช่วงนี้ คือการประกาศของคณะความมั่นคงของประเทศเมียนมาเขาครับ เราจะต้องติดตามดูว่าในประกาศฉบับต่อๆไป จะมีการพูดถึงการค้า-การลงทุนของชาวต่างชาติบ้างหรือไม่? และที่สำคัญคงจะต้องดูเรื่องของสถานการณ์ด้านสถาบันการเงินของประเทศเมียนมา ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร? และเรื่องของชนชาติพันธ์ที่กำลังอยู่ในสภาวการณ์การเจรจาข้อตกลงสันติภาพนั้น ฝ่ายความมั่นคงเขาคิดกันอย่างไร? และเรื่องการลงทุนจากต่างประเทศในประเทศเมียนมา จะมีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขอะไรหรือเปล่า? สนธิสัญญาที่ทางการเมียนมา โดยพรรคNLD ได้ไปทำไว้กับนักลงทุนต่างประเทศต่างๆ จะเกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางไหนบ้าง? สิ่งเหล่านี้เป็นประเด็นที่นักธุรกิจไทย จะต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิดครับ อย่ากระพริบตาเลยทีเดียว
สิ่งที่นักธุรกิจไทยกำลังกังวลใจมากๆ เท่าที่ได้รับทราบมาจากการพูดคุยทางโทรศัพพ์ ก็คือต่อนี้ไป ประเทศไทยเราจะเสียผลประโยชน์จากการปฎิวัติในครั้งนี้หรือไม่อย่างไร? ผมต้องตอบว่าในระยะสั้น เราเสียผลประโยชน์จากการส่งออกแน่นอน เพราะด่านชายแดนต่างๆ จะมีการปิดชั่วคราว บางด่านถึงแม้จะเปิดอยู่ แต่การขนส่งภายในประเทศเมียนมา อาจจะไม่ได้สะดวกอย่างที่เคย จนกว่าสถานการณ์จะกลับสู่ปกติ ในระยะกลาง หากทางฝ่ายความมั่นคงมีทิศทางที่ดีขึ้น หรือถ้าหากทางรัฐบาลชาติตะวันตก ไม่มีการบอยคอตประเทศเมียนมา เหมือนเช่นในอดีต และสถานการณ์โควิด-19 ดีขึ้น ทุกอย่างก็อาจจะกลับมาเหมือนเดิม ในทางกลับกัน หากมีปัญหาที่กล่าวมาทั้งหมดที่รุนแรงหรือเป็นไปในทิศทางลบ เราคงต้องมาประเมินสถานการณ์ใหม่อีกครั้งครับ
ในส่วนของสถานการณ์จริงที่เกิดขึ้นในเมียนมา เราอย่าไปคิดเอาเองนะครับ ต้องฟังจากปากผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ หรือข่าวที่สถานทูตไทยประจำประเทศเมียนมา จะดีที่สุดนะครับ โปรดติดตามอย่างใกล้ชิดต่อไปครับ