*** หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับ 3656 ระหว่าง 25-27 ก.พ.2564 ฐานโซไซตี โดยกาแฟขม***
*** นับตั้งย่างก้าวตั้งต้นหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับปฐมฤกษ์เมื่อวันที่ 23 ก.พ.2524 ถึงบัดนี้ก้าวสู่ปีที่ 41 แล้ว ฐานเศรษฐกิจเป็นองค์กรผู้นำข้อมูลข่าวสารรับใช้ผู้อ่าน ผู้บริโภค ครอบคลุมในทุกมิติข่าว สังคม เศรษฐกิจ การเมือง เผชิญคลื่นลมแรง เผชิญวิบากกรรมและวิกฤติการณ์หลายครั้งหลายคราวตั้งแต่อดีตจนถึงบัดนี้ แต่คนข่าวใต้ชายคาฐานเศรษฐกิจ ยังคงมุ่งมั่น ยึดมั่นเยี่ยงมืออาชีพในการนำเสนอข้อมูลข่าวสาร ข้อมูล ข้อเท็จจริง วิเคราะห์ เจาะลึก ตรง ประเด็น เพื่อให้เห็นโอกาสกับแฟนๆฐานเศรษฐกิจที่หลากหลายในสาขาอาชีพและทุกเพศ วัย โดยไม่ย่อท้อ
*** ก้าวสู่ปีที่ 41 ท่ามกลางภูมิทัศน์สื่อที่เปลี่ยนผัน เราชาวฐานเศรษฐกิจยืนหยัดตั้งใจเสริ์ฟข้อมูลข่าวสารออกไปในทุกแพลตฟอร์ม แน่นอนในรูปแบบหนังสือพิมพ์มีบทวิเคราะห์ที่หลากหลายจากผู้เขียนผู้เชี่ยวชาญ ในรูปแบบสื่อออนไลน์ และทีวี จะมีข่าวสารที่เชื่อถือได้แบบรวดเร็ว ตรงประเด็นทั้งการฟัง การรับชม ภายใต้ธงแห่งความเชื่อมั่น ไม่บิดเบือนสาระของข้อมูลข่าวสาร ไม่เฉไฉนอกลู่นอกทาง ไม่ใส่สีตีข่าวเพื่อเรียกยอด Like ยอดแชร์ ขอปวารณาตัวกับท่านผู้อ่าน ผู้รับสื่อที่เคารพทุกท่าน ที่จะทำหน้าที่ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจให้ดีที่สุด
*** ควันหลงอภิปรายไม่ไว้วางใจที่เพิ่งเสร็จศึกกันไป เกิดแรงกระเพื่อมขึ้นในรัฐบาล เมื่อคะแนนรัฐมนตรีในพรรคพลังประชารัฐได้ไม่เท่ากัน รัฐมนตรีพรรคร่วมรัฐบาลก็ได้ไม่เท่ากัน หลังจากนี้ต้องกลับไปตรวจสอบความผิดพลาด บกพร่องของตัวเอง และนำข้อมูล คำอภิปรายที่ดีๆ ของพรรคฝ่ายค้านปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงาน อันนั้นเป็นสิ่งที่รัฐมนตรีทุกคนพึงกระทำในด้านการทบทวนตัวเอง ขณะที่นายกรัฐมนตรีเองก็ต้องรับฟังทั้งจากพรรคฝ่ายค้าน (ที่ดีๆ) และเสียงสะท้อนจากประชาชนภายนอก และปรับเปลี่ยนครม.ไปตามความเหมาะสม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารราชการแผ่นดิน โดยยึดผลประโยชน์ของชาติเป็นหลักมากกว่าการเมือง
*** ถ้าจะปรับครม.เที่ยวนี้ น่าจะฉวยโอกาสปรับใหญ่ไปเลยเป็นครม. “รัฐบาลประยุทธ์ 2/3” ครบรอบ 2 ปีที่เลือกตั้งกันมา แต่ต้องเป็นการปรับเพื่อการตอบโจทย์ประเทศหลังโควิด-19 ด้วยเหตุหลังจากนี้เราจะได้วัคซีนและคงต้องถึงโหมดฟื้นฟูเศรษฐกิจกันแล้ว จากสถานการณ์ที่ผ่านมาโควิดพ่นพิษกระทบไปทั่ว รายเล็กรายน้อยที่เป็นองคาพยพเศรษฐกิจสินเนื้อประดาตัว ล้มละลายกันหมดแล้วต้องฟื้นฟูกันด่วนจี๋ รัฐมนตรีที่เข้ามาต้องมีความตั้งใจ สำนึกสูงเข้ามาเพื่อแก้ปัญหา เข้ามาเพื่อภารกิจฟื้นฟูเศรษฐกิจ ไม่ใช่สักแต่แย่งชามข้าวกัน ไม่ใช่เข้ามาเพื่อหวังถอนทุน โดยหวังตีตั๋วรอบสุดท้ายเข้าไปแสวงหาประโยชน์และเอื้อประโยชน์ให้พวกพ้อง ต้องเข้าใจว่าบ้านเมืองวิกฤติจริงๆ ที่ต้องเร่งมือแก้
***ศูนย์อำนวยการบริหารสถานการณ์โควิด-19 หรือ ศบค.ปลดล็อกแล้วให้สามารถสั่งเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์รัปประทานที่ร้านได้ แต่ยังไม่มีการเปิดสถานบันเทิง เพราะประเมินว่ายังมีความเสี่ยงสูงต่อการแพร่ระบาดโควิด-19 จากสถานบันเทิง จึงต้องรอไปก่อน ว่ากันไปทีละเปลาะๆ แม้สถานการณ์ผู้ติดเชื้อรายวันลดลงต่ำร้อย แต่จังหวัดรอบกทม.และปริมณฑลอย่างปทุมธานียังหนักอยู่ ศบค.จำต้องชั่งสถานการณ์ แต่จะไม่ผ่อนคลายเลยคงไม่ได้ คนทำธุรกิจบริการร้านอาหาร จำหน่ายสินค้าเล็กๆ น้อยๆ โดนสอยไปหมดแล้ว แต่ถึงขณะนี้เรียกได้ว่าผ่อนคลายไปทั้งหมดแล้ว
*** มาแล้ว วัคซีนโควิดล็อตแรกสำหรับประเทศไทย 200,000 โดส จากบริษัท ซิโนแวค ไบโอเทค จำกัด จากจีนถึงไทย 24 กุมภาพันธ์ หลังจากนี้จะใช้เวลาอีก 5-7 วัน จะเริ่มกระจายได้ 1 แสนโดสแรก จะใช้สำหรับการฉีดให้กับบุคลากรและเจ้าหน้าที่ที่ทำงานด่านหน้า รวมถึงประชาชนในพื้นที่เสี่ยง รวม 10 จังหวัด ส่วนอีก 1 แสนโด๊สเก็บไว้สำหรับการฉีดเข็มที่ 2 ซึ่งจะต้องห่างจากเข็มแรกประมาณ 2-4 สัปดาห์ งานนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีอาสาฉีดเป็นเข็มแรก แม้จะอายุเยอะเป็น ลุงตู่ แต่เพื่อสร้างความมั่นใจ พร้อมฉีดเข็มแรกไม่มีกลัว
*** ย้ำๆๆ มาจาก ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ (หมอยง) หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อีกที เหตุที่คนไม่กล้าฉีดวัคซีน กล้าๆ กลัวๆ ก็เพราะกลัวอาการแทรกซ้อน แต่ในสหรัฐ หลังให้วัคซีนไปแล้ว 1 พบอาการแพ้แบบรุนแรง ansphylaxis 4.5 คนใน 1 ล้านโด๊ส ส่วนวัคซีนเชื้อตายของจีน Sinovac หลักการกระบวนวิธีการทำเหมือนวัคซีนอีกหลายชนิดในอดีต อย่างป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า โปลิโอ ตับอักเสบเอ ด้วยกระบวนการแบบนี้อาการข้างเคียงก็สบายใจได้ขอให้ฉีดวัคซีนให้คนไทยมีภูมิต้านทานกันมากๆ ให้พ้นวิกฤต ฉีดวัคซีนเพื่อชาติและขอให้ทุกภาคส่วนพยายามนำเข้าวัคซีนมาให้มากและเร็วที่สุด ให้ภาวะปกติกลับมาโดยเร็ว