หลังฟ้าเปิด เมียนมาจะไปทิศทางไหน? (2)

24 พ.ค. 2564 | 01:10 น.

หลังฟ้าเปิด เมียนมาจะไปทิศทางไหน? (2) : คอลัมน์ เมียงมอง เมียนมา โดยกริช อึ้งวิฑูรสถิตย์

เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา ผมเอาคำถามที่แฟนคลับทางบ้านถามมา เรื่องทิศทางการพัฒนาประเทศหลังการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล แต่ช่วงแรกกลับมีการประท้วงแบบอาริยะขัดขืนที่รุนแรงขึ้นเป็นลำดับ ทำให้การพัฒนาประเทศไม่สามารถที่จะเดินต่อไปได้ อีกทั้งความรุนแรงจนถึงปัจจุบันนี้ ก็ยังคงมีอยู่ประปรายครับ ส่วนที่ถามมาถึงการพัฒนาประเทศหลังการฟ้าเปิดอีกครั้ง จะไปทางทิศทางไหนนั้น ครั้งที่ผ่านมา ผมก็ได้อธิบายไปบ้างแล้ว ในเงื่อนไขปัจจัยที่มีอยู่หลายๆ ด้าน ซึ่งผมได้นำมาอธิบายไปแล้วทางด้านการเมือง การปกครอง และด้านเศรษฐกิจการค้า-การขายในประเทศเมียนมาไปแล้ว วันนี้ผมจะขออนุญาตต่อไปอีกนิดนะครับ เพื่อให้บทความจะได้จบลงอย่างสมบูรณ์ครับ

หากสถานการณ์จบสิ้นลงไป ทิศทางในปัจจัยด้านสังคมจะไปทางไหนต่อ จากประสบการณ์ที่ผมรู้จักประเทศนี้มาสามสิบกว่าปี หรือถ้าจะเหมารวมถึงตั้งแต่เด็กๆ ที่ผมใช้ชีวิตอยู่ตามชายแดนไทย-เมียนมา และมีเพื่อนนักเรียนตั้งแต่ประถมจนถึงมัธยมต้นที่เป็นเด็กๆ ชาวเมียนมาที่ข้ามมาเรียนด้วยกันที่ชายแดน(ดอยแม่สะลอง) ก็ต้องบอกว่าร่วมๆ ห้าสิบปีเลยทีเดียว ดังนั้นผมก็มีความเชื่อว่า หลังจากสงบลง จะต้องมีการเก็บกวาดครั้งใหญ่แน่นอน ดังนั้นคงจะต้องมีการหลบหนีการจับกุมกันอย่างจ้าละหวั่น ทำให้สังคมจะต้องตกอยู่ในความวังเวงเหมือนในยุคปี 1988-2000 อีกครั้งแน่ๆ

ซึ่งในยุคนั้นชาวบ้านชาวช่องที่อยู่ในความสงสัยของทางการ และกลุ่มที่ต้องถูกจับตามองจะเดินทางไปไหนมาไหน ก็จะมีสปายคอยติดตามตัว เรื่องอย่างนี้ประเทศสังคมนิยมเขาเก่งมาก ในยุคดังกล่าวนั้น เวลาถูกเรียกตัวไปสอบสวน ผู้ต้องสงสัยไม่ต้องไปแก้ต่างให้เสียเวลาหรอกครับ รับสารภาพไปก่อนได้เลย เพราะเขาจะมีทั้งพยานและหลักฐานที่แน่นหนามาก เรียกว่าทำให้ “ไม่ต้องเถียง” เลยละครับ

ส่วนความสงบเรียบร้อยนั้น จะมีมากกว่าในยุคประชาธิปไตยจะเต็มใบหรือเสี้ยวใบอย่างไม่ต้องสงสัย ในยุคนั้นการฉกชิงวิ่งราวเงียบกริ๊บ!!!!  ไม่มีใครกล้าหื้อกล้าหาหรอกครับ เพราะการเข้าเรือนจำอินเส่งนั้น เป็นสิ่งที่ไม่ปรารถนาของชาวบ้านหรอกครับ ยังไม่ว่าง!!! เวลาพวกเราออกไปดื่มน้ำชาตอนกลางคืน แม้แต่ร้านชาที่อยู่ข้างถนน เราเอาเงินใส่ถุงพลาสติกก๊อปแก๊ปไปวางอยู่ข้างตัวเรา ก็ไม่มีใครกล้ามาฉกชิงวิ่งราวเลยครับ เพราะกฎหมายจะแรงมากครับ

ส่วนการจี้ปล้นหรือทำร้ายร่างกายนั้น ก็เช่นเดียวกันครับ จะไม่มีให้เห็นเป็นข่าวเลย สันนิษฐานได้สองอย่างคือ 1. ไม่มีการกระทำเช่นนั้นในสังคม หรือ 2. มีเหตุการณ์เช่นนั้น แต่ข่าวคราวถูกปิดกั้น จึงไม่มีการนำเสนอข่าวครับ ทีนี้เรามาดูข่าวที่ทุกวันจะถูกนำเสนอ  ทั้งที่อยู่ในหน้าหนังสือพิมพ์และข่าวจากโทรทัศน์ ผมจำได้เสมอว่า ข่าวแต่ละวันนั้น จะมีแต่ข่าวรัฐมนตรีโน่น นี่ นั่น ไปเปิดสาธารณูปโภคต่างๆ เช่น ถนนหนทาง สะพาน หรือข่าวการต้อนรับชาวต่างชาติทั้งที่สำคัญๆ และที่ไม่สำคัญ เราจะเห็นเป็นข่าวตลอด ในยุคนั้นการสื่อสารทั้งภายในประเทศและต่างประเทศยากลำบากมาก แต่วันนี้น่าจะดีกว่าเดิมอย่างแน่นอน เพราะปัจจุบันนี้เป็นยุคของ AI เทคโนโลยีต่างๆ แพร่หลายมากแล้ว คงจะถูกปิดกั้นลำบากกว่าเก่ามาก ได้แต่ภาวนานะครับ ว่ายุคสมัยเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ทุกอย่างน่าจะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้นครับ

ส่วนปัจจัยด้านการพัฒนาบ้านเมือง ผมก็มองว่าวันนี้ที่ประเทศเมียนมาเขาได้อ้าแขนเปิดรับนักลงทุนต่างชาติ ที่ต่อเนื่องจากการเปิดประเทศที่เข้มข้นตั้งแต่ปี 2012 เป็นต้นมา เราจะเห็นว่ายักษ์ใหญ่อย่างประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน เข้ามาลงหลักปักฐานไว้เยอะ อีกทั้งยังหมายมั่นปั้นมือที่จะเอาประเทศเมียนมาเป็นจุดหมายปลายทางออกสู่ทะเลทางด้านฝั่งตะวันตก ในโครงการ One Belt One Road ดังนั้นจีนเขาก็คงต้องเดินหน้าต่อแน่นอน เมื่อเป็นเช่นนี้ โฉมหน้าของการพัฒนาประเทศของเมียนมา ก็จำเป็นที่จะต้องเดินหน้าตามนโยบายของทั้งสองประเทศแน่นอน เมื่อมีการลงไปเปิดฉากแสดงเองของประเทศจีน เมียนมาก็คงหยุดนิ่งไม่ได้ ต้องได้รับอานิสงค์ของการลงทุนในเมกกะโปรเจ็คของจีนอย่างแน่นอนครับ 

ส่วนปัจจัยทางด้านอื่นๆที่จะตามมา ผมก็มีความเชื่อว่าจำเป็นต้องเดินหน้าต่อไป แต่จะเป็นการเดินหน้าอย่างระมัดระวังครับ อีกนัยยะหนึ่งคือเมียนมาเขาจะต้องคุมให้อยู่ และต้องพยายามที่จะขีดเส้นให้ฝ่ายประชาธิปไตยเดินตามเส้นหรือ Roadmap ที่เขาวางไว้ให้ครับ ใครจะหลบหลีกก็คงจะต้องมีการใช้วิทยายุทธ์ที่แก่กล้าจริงๆ ถึงจะสามารถทำได้ครับ มิเช่นนั้นอาจจะต้องถูกเขาเอาปูนแดงมาหมายหัวแน่นอนครับ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง