นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า วันนี้ (21 ก.ค.64 ) เวลา 14.20 น. พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นประธานการประชุมหารือร่วมกับสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยและ 40 ซีอีโอ(CEO) ณ ห้อง PMOC ชั้น 2 ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ผ่านระบบ Video Conference
เพื่อหารือแนวทางความร่วมมือระหว่างภาครัฐ-เอกชน ในการแก้ไขปัญหาสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19)
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีขอบคุณเอกชนที่มาร่วมหารือเพื่อช่วยกันบรรเทาสถานการณ์โควิด-19 วันนี้ โดยที่ผ่านมารัฐบาลและเอกชนได้พูดคุยกันต่อเนื่องมาโดยตลอด รัฐบาลไม่นิ่งนอนใจกับการแพร่ระบาดโควิดที่รุนแรงมากขึ้นนี้ ยังเดินหน้าแก้ไขอย่างรอบด้าน
ทั้งการเร่งฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้กับประชาชนจนถึง 20 กรกฎาคม ที่ผ่านมา มีการฉีดวัคซีนแล้วกว่า 14 ล้านโดส กำหนดมาตรการช่วยเหลือ/เยียวยา
ทั้งสนับสนุนการเข้าถึงสินเชื้อดอกเบี้ยต่ำแก่ผู้ประกอบการ มาตรการกระตุ้นการบริโภคภาคประชาชน ผ่านโครงการต่างๆ อาทิ โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 มียอดการใช้จ่ายแล้วกว่า 3.3 หมื่นล้านบาท
โครงการ Phuket Sandbox และโครงการ Samui Model Plus เพื่อช่วยอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและธุรกิจที่อยู่ในห่วงโซ่การท่องเที่ยว ที่ผ่านมาสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยและภาคเอกชนได้ให้ข้อเสนอแนะนำที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินงานของรัฐบาลมาตลอด
ข้อเสนอแนะที่ทำได้ รัฐบาลดำเนินการทันที ในส่วนที่เป็นอุปสรรครัฐบาลก็พยายามเร่งแก้ไขให้ ทั้งนี้ ทุกมาตรการต้องเป็นตามกฎหมายและหลักการงบประมาณ เพราะเงินที่รัฐบาลที่นำมาใช้จ่ายมาจากภาษีของประชาชน
“นายกรัฐมนตรียังกล่าวอีกด้วยว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายในระดับสูง ต้องลดความขัดแย้ง ช่วยกันสร้างการรับรู้ เน้นประชาสัมพันธ์เชิงรุก เพราะทั้งรัฐบาลและภาคเอกชนมีเป้าหมายเดียวกันคือ การช่วยกันหาทางออกให้ประเทศผ่านพ้นวิกฤตไปด้วยกัน” นายอนุชา กล่าว
โฆษกฯ กล่าวต่อไปว่า นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณและสิ่งที่ได้รับฟังข้อมูลในวันนี้ สอดคล้องกับนโยบายและแนวคิดของรัฐบาล ซึ่งทุกข้อเสนอแนะเป็นประโยชน์ต่อการทำงาน ซึ่งทั้งการช่วยเหลือ การให้สิทธิประโยชน์ รวมทั้งมาตราเยียวยาต้องอยู่ในกรอบกฎหมาย ยืนยันว่า นายกรัฐมนตี คณะรัฐมนตรี และศบค. ไม่เคยหยุดคิด หยุดทำงาน
นายกรัฐมนตรีรับรายงานทุกวัน เพื่อสั่งการทั้งการรักษา การเยียวยา รวมทั้งการเตรียมมาตรการเรื่องงบประมาณ เพื่อดูแลคน 70 ล้านคน แต่ทุกมาตรการของรัฐต้องอยู่ในกรอบกฎหมาย และได้ย้ำมาตลอดว่า ไทยต้องปรับรูปแบบการบริหารจัดการใหม่ รัฐบาลทำหน้าที่กำหนดนโยบายสร้างโอกาสให้เอกชนเป็นผู้ขับเคลื่อน ที่สำคัญทุกฝ่ายต้องร่วมมือการสื่อสารสร้างความเข้าใจให้กับประชาชน ลดความขัดแย้ง
“ขอยืนยันการเดินหน้าเปิดประเทศ 120 วัน ซึ่งเริ่มแล้วที่ภูเก็ตและสมุย และจะขยายไปยังพื้นที่อื่นๆ ต่อไป ซึ่งรัฐบาลและเอกชนต่างก็มีความมุ่งมั่นตั้งใจเดินหน้าประเทศ เพื่อความสุขของคนไทยทุกคน พร้อมรับข้อเสนอ ข้อห่วงใยทุกประเด็น ซึ่งจะได้นำไปหารือกับคณะรัฐมนตรีและ ศบค. ต่อไป”นายอนุชา กล่าว
โฆษกรัฐบาล กล่าวด้วยว่า ด้าน นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวในนาม 40 ซีอีโอพลัส ขอบคุณนายกรัฐมนตรีและคณะที่ได้จัดสรรเวลาเชิญ 40 ซีอีโอพลัสหารือร่วมกันหาในวันนี้
ซึ่งสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยและภาคเอกชนได้เตรียมข้อสนอต่อรัฐบาลไว้ 4 ประเด็นหลัก ได้แก่
โดยข้อเสนอทั้ง 4 แนวทางดังกล่าวเป็นการฟื้นฟูประเทศ เปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส
นายอนุชา กล่าวต่อไปว่า ขณะเดียวกันประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ยังกล่าวแสดงความเข้าใจดีว่า รัฐบาลมีความยากลำบากในการทำงาน ภายใต้สถานการณ์โรคระบาดและเศรษฐกิจที่ผันผวนและไม่มีความแน่นอนสูง ภาคเอกชนให้กำลังใจนายกรัฐมนตรีและพร้อมให้การสนับสนุนการทำงานของรัฐบาลด้วยความจริงจัง
ทั้งนี้ ก่อนจบการประชุม ภาคเอกชน ประธานหอการค้า ขอบคุณการหารือวันนี้ โดยท่านนายกรัฐมนตรีได้ให้เวลา และรับฟังด้วยความตั้งใจ เพื่อร่วมกันทำงาน สร้างความเชื่อ สร้างสรรค์ ผลักดัน เป้าหมายฟื้นฟู เพื่อบรรลุเป้าหมาย
และสุดท้าย ซีอีโอ 40 กว่าบริษัทยังได้กล่าวให้กำลังใจท่านนายกรัฐมนตรี และขอให้ท่านนายกรัฐมนตรีทำหน้าที่ด้วยความเข้มแข็งเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติต่อไป