จากผลสำรวจ "สถานภาพแรงงานไทย: กรณีศึกษาผู้มีรายได้ ต่ำกว่า 15,000 บาท” ของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย พบว่า สถานภาพหนี้ของแรงงานไทยปี 2564 นั้น มีหนี้สินของครัวเรือนเพิ่มขึ้นจากปี 2562 มาอยู่ที่ 98.1% โดยส่วนใหญ่เป็นหนี้จากการกู้ยืมเพื่อนำมาใช้จ่ายประจำวัน เพื่อการศึกษาและใช้หนี้บัตรเครดิต
ส่วนใหญ่มีปัญหาการผิดนัดผ่อนชำระหนี้สูงถึง 85.1% เนื่องจากขาดสภาพคล่องทางการเงินจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 และสภาพเศรษฐกิจ ส่งผลให้ภาระหนี้ครัวเรือนของแรงงานไทยในปีนี้ขยายตัวสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เฉลี่ยอยู่ที่ครัวเรือนละ 205,809 บาท หรือเพิ่มขึ้น 29.56%
แน่นอนว่าในภาคอสังหาฯ ที่อยู่อาศัย บ้าน - คอนโดฯ ที่แม้จะเป็นปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญในการดำรงชีวิตของผู้บริโภค แต่ก็ถือเป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่าสูงก็หนีผลกระทบครั้งนี้ไม่พ้นเช่นกัน แม้จะมีความต้องการที่อยู่อาศัยจากผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง (Real Demand) ก็ตาม
ล่าสุด DDproperty’s Thailand Consumer Sentiment Study เปิดเผยผลสำรวจ ที่พบว่า มากกว่าครึ่ง (60%) ของผู้บริโภคชาวไทยที่ต้องการครอบครองที่อยู่อาศัยมองว่าอุปสรรคหลักในการเข้าถึงสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยมาจากอาชีพการงานและรายได้ที่ไม่มั่นคง
ตามมาด้วยประวัติเครดิตที่ไม่ดี 45% และมีเงินดาวน์ไม่เพียงพอ 34% สะท้อนให้เห็นว่าสถานะทางการเงินที่ผันผวนยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อการมีบ้านของผู้บริโภคในยุคนี้ หรือหากเป็นผู้บริโภคที่มีภาระต้องผ่อนอสังหาฯ อยู่แล้วอาจจะหนักใจไม่น้อย เพราะหากผิดนัดค้างชำระก็จะส่งผลเสียผูกพันตามมา
ทั้งนี้ แนะนำ 5 วิธีการประนอมหนี้ เพื่อช่วยให้ผู้บริโภคสามารถประเมินสถานการณ์ทางการเงินของตนเอง และเลือกรูปแบบการประนอมหนี้ที่เหมาะสมมาใช้ได้ตรงกับสถานการณ์ที่เผชิญได้ทันท่วงที
การประนอมหนี้คืออะไร วิกฤติขนาดไหนถึงต้องเลือกใช้
การประนอมหนี้เป็นการขอเจรจาข้อตกลงเรื่องหนี้สินกับเจ้าหนี้ เช่น ลดหย่อน ผ่อนผัน และ/หรือปรับเปลี่ยนข้อตกลง เพื่อช่วยชะลอหรือหยุดการดำเนินการจากเจ้าหนี้อันเนื่องมาจากการผิดนัดชำระหนี้ เช่น ฟ้องร้องและยึดทรัพย์สิน และช่วยลดภาระในการชำระหนี้
โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ลูกหนี้กำลังตกอยู่ในสภาวะขาดสภาพคล่องทางการเงินและไม่สามารถกลับมาชำระได้ปกติ โดยมีรูปแบบการประนอมหนี้ที่แตกต่างกันไปตามสถานการณ์ต่าง ๆ ดังนี้
- ขอลดอัตราดอกเบี้ย เหมาะกับผู้กู้ที่มีรายได้เป็นประจำทุกเดือน แต่มีเหตุให้รายได้ลดลงหรือเท่าเดิมแต่รายจ่ายสูงขึ้น และเมื่ออัตราดอกเบี้ยเพิ่มสูงขึ้นกว่าเมื่อแรกกู้ หรือในกรณีที่ธนาคารอาจให้ชำระเป็นเงินก้อนซึ่งสูงกว่าค่าผ่อนต่อเดือน หรือให้ชำระหนี้ทั้งหมดภายในครั้งเดียว ซึ่งการขอลดอัตราดอกเบี้ยนั้นผู้กู้ต้องมีประวัติการผ่อนชำระที่ดี และประเมินสถานะทางการเงินของตนแล้วพบว่ามีความเป็นไปได้ที่จะมีรายได้สูงเพียงพอสำหรับกรณีที่ต้องชำระเงินก้อนตามเงื่อนไขใหม่ของธนาคาร
- ขอผ่อนชำระต่ำกว่าปกติ กรณีที่ผู้กู้มีรายได้เป็นประจำทุกเดือน แต่ขาดสภาพคล่องจากปัจจัยอื่น ๆ จะสามารถเลือกใช้วิธีนี้ได้เมื่อจำนวนยอดชำระต่อเดือนนั้นสูงกว่ายอดดอกเบี้ยต่อเดือนอย่างน้อย 500 บาท โดยระยะเวลาในการผ่อนชำระที่ต่ำกว่าปกตินั้นต้องไม่เกิน 2 ปี อย่างไรก็ดี ผู้กู้จะต้องมีประวัติการผ่อนชำระดี และไม่ลืมจัดการกับรายจ่ายที่เป็นอุปสรรคต่อการผ่อนบ้านในจำนวนเดิมให้ได้ภายในระยะเวลาที่กำหนด เนื่องจากการขอประนอมหนี้แบบนี้ทำได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น
- ขอขยายเวลาชำระหนี้ วิธีนี้ช่วยให้ค่าผ่อนต่อเดือนลดลงเป็นการแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายที่น่าสนใจอีกวิธีหนึ่งสำหรับผู้กู้ที่มีรายได้ประจำลดลง อย่างไรก็ดี การขอขยายเวลากู้สามารถทำได้จนอายุผู้กู้ไม่เกิน 70 ปีเท่านั้น จึงเหมาะกับผู้กู้ที่อายุน้อยหรือมีเวลาอีกหลายปี และสัญญาเงินกู้ปัจจุบันจะต้องมีระยะเวลากู้ไม่ถึง 30 ปีด้วย
- ขอผ่อนผันการค้างชำระ เป็นอีกหนึ่งวิธีแก้ไขปัญหาฉุกเฉินทางการเงินได้ดีไม่น้อย เนื่องจากช่วยให้ผู้กู้สามารถจัดการปัญหาทางการเงินที่เกิดขึ้นภายในระยะเวลาไม่เกิน 36 เดือน หลังจากนั้นจึงค่อยชำระเงินที่ค้างไว้ตามรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง โดยประเมินจากสภาพคล่องทางการเงินและความเป็นไปได้ที่จะมีรายได้มั่นคงในอนาคต ได้แก่ การขอชำระเป็นเงินก้อนเล็กทุกเดือน การขอชำระเป็นเงินก้อนโดยแบ่งเป็นงวด ๆ หรือการขอชำระเงินคงค้างทั้งหมดภายในระยะเวลาหนึ่ง
- ขอโอนหลักทรัพย์เป็นของธนาคารชั่วคราวและจะซื้อคืน รูปแบบนี้จะคล้ายกับการขายฝากแล้วเช่าบ้านตัวเองอยู่ โดยค่าเช่าหลักทรัพย์คิดอยู่ที่ 0.4-0.6% ของมูลค่าหลักทรัพย์ และมักทำสัญญาเช่าเป็นรายปี โดยมีเงื่อนไขว่าหากจำนวนหนี้สูงกว่าราคาประเมินของหลักทรัพย์ ผู้กู้จำเป็นต้องชำระส่วนต่างภายในวันโอน วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้กู้ที่ขาดรายได้และไม่น่าจะกลับมามีรายได้ภายใน 1 ปี หรือมีรายได้ประจำไม่คงที่แต่มีรายจ่ายสูงต่อเนื่องนานเกิน 1 ปี อย่างไรก็ตาม ผู้กู้ต้องอย่าลืมว่าหากเลือกวิธีนี้แล้วต้องมีเงินมากพอที่จะชำระส่วนต่างระหว่างหนี้และราคาประเมินหลักทรัพย์ และมีกำลังเพียงพอที่จะจ่ายค่าเช่าต่อเดือนแก่ธนาคารได้ด้วย
ข้อมูล : บทวิเคราะห์ ดีดีพร็อพเพอร์ตี้
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง