คณะกรรมการด้านสาธารณสุขแห่งมณฑลหูเป่ยของจีนออกแถลงการณ์ล่าสุดว่า ณ วันพุธที่ 18 มีนาคม 2563 ไม่พบผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา(โควิด-19) รายใหม่ในเมืองอู่ฮั่น ที่เป็นต้นตอของการแพร่ระบาดไปทั่วโลก นับเป็นครั้งแรกที่ไม่มีรายงานการพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ ขณะที่ในเมืองอื่นๆ ของจีนพบการติดเชื้อในวงจำกัด ถือเป็นสัญญาณบ่งชี้จีนสามารถผ่านพ้นวิกฤติครั้งนี้ได้แล้ว
รศ.ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และที่ปรึกษาประจำคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ วุฒิสภา ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับประเทศจีน ให้สัมภาษณ์ ทาง CNBC (วันที่ 19 มี.ค.2563) ถึงความสำเร็จของจีนที่สามารถ (เริ่ม)ถอดหน้ากากได้แล้ว ถือเป็นโมเดลสำคัญที่หลายประเทศที่ยังมีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส สามารถนำไปปรับใช้ได้ว่าสิ่งไหนที่รัฐบาล ประชาชน และสื่อมวลชนแต่ละประเทศควรทำ(Do) และไม่ควรทำ(Don’t) ในยามวิกฤติเช่นนี้
รศ.ดร.อักษรศรี กล่าวว่า ก่อนอื่นต้องแสดงความยินดีกับจีนก่อน เพราะทุกวันนี้เขาเริ่มถอดหน้ากากได้แล้ว แม้จะยังไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ มีสัญญาณจากทีมแพทย์ของจีนที่ส่งไปช่วยที่อู่ฮั่นก็เริ่มกลับบ้านแล้ว คนพูดกันมากว่าจีนทำอะไร เน้นเรื่องจีนทำอะไรก่อน เรื่องภาวะผู้นำของประเทศนี่สำคัญมาก ภาพใหญ่เลยผู้นำของจีนด้วยความเด็ดเดี่ยว เด็ดขาดของเขา ประเด็นสำคัญคิดว่า เขานำมาตรการมาใช้อย่างทันท่วงที ภาษาอังกฤษ ใช้คำว่า Right Timing (เวลาที่เหมาะสม) การออกมาตรการของเขามี Sequencing (ลำดับ) รู้ว่าอะไรควรทำก่อน อะไรควรทำหลัง
สี จิ้นผิง นำพาจีนพ้นวิกฤติ
ยกตัวอย่างตอนที่เชื้อไวรัสระบาดหนักเขาให้ความสำคัญกับการจัดการวิกฤติสาธารณสุขให้อยู่หมัดก่อน ส่วนเรื่องเศรษฐกิจเอาไว้ก่อน ท่าน “สี จิ้นผิง” เรียกไวรัสตัวนี้ว่า “ไวรัสปีศาจ”ท่านก็มุ่งมั่นมากที่จะเอาชนะปีศาจร้ายตัวนี้ให้ได้ก่อน คือวิกฤติสาธารสุขให้อยู่หมัดก่อน โดยตอนที่จีนให้ยาแรง อย่างเช่นถึงขั้นปิดเมือง หรืออะไรก็แล้วแต่ แน่นอนย่อมส่งผลกระทบต่อธุรกิจ แต่เขารู้ว่าต้องปราบอะไรก่อน อะไรหลัง เขาก็เลยเข้มข้นกับการแก้ปัญหาเรื่องการระบาดของเชื้อไวรัสโควิดนี้ก่อน
และที่สำคัญเลย คือไม่ว่าท่านสี จิ้นผิง หรือผู้นำจะใช้ยาแรงแค่ไหน ถึงขึ้นปิดเมือง “แต่จีนไม่มีวิกฤติศรัทธา” ประชาชนกลับให้ความร่วมมือ ให้ความเชื่อมั่น และประชาชนจีนต้องขอชื่นชมว่าเขาร่วมมือร่วมใจ และอดทนที่จะฝ่าฟันวิกฤตินี้ให้ได้
หลายคนบอกว่า เฮ้ย จีนทำได้ เพราะจีนเป็นคอมมิวนิสต์ใช่มั้ย มีระบบการเมืองแบบนี้ใช่มั้ย ถึงเด็ดขาด ถึงเอาอยู่ ถึงสั่งได้ แต่จริง ๆ ไม่ใช่แค่นั้น คือต่อให้เด็ดขาดแค่ไหน ถ้าประชาชนไม่ร่วมมือร่วมใจมันก็ช่วยไม่ได้หรอกค่ะ คือเรื่องจิตสำนึกของคน หรือการตระหนักที่จะดูแลตัวเองเป็นเรื่องที่ไม่ว่ากฎหมายจะเด็ดขาดอย่างไร ถ้าประชาชนไม่ร่วมมือก็คงทำไม่ได้ ตรงนี้สำคัญมาก
การทำงานของจีนจะแบ่งเป็นคณะทำงานเฉพาะกิจ 9 ชุด ดูแลในแต่ละเรื่อง เรื่องของ Coordination (การประสาน) เรื่องของการจัดการการระบาดทุกอย่างเลย เรียกว่าทำเหมือนที่ชาติอื่นทำ และก็ทำมาก และยาแรงกว่า แต่ที่ขอชื่นชมเป็นพิเศษสำหรับจีน นอกจากทีมแพทย์ที่เก่ง และบุคลากรทางการแพทย์ที่เสียสละ เคยเห็นภาพใช่มั้ยคะ พยาบาลผมยาวสลวยแต่เขาก็ยอมโกนศีรษะเพื่อที่จะให้สะดวกในการทำงานอะไรก็แล้วแต่ มีการให้กำลังใจกันระหว่างถูกกักอยู่ที่เมืองอู่ฮั่น ตะโกนข้ามตึกว่า “อู่ฮั่นเจียโหยว”(อู่ฮั่น สู้ สู้)
นอกจากสิ่งเหล่านั้นแล้ว คิดว่าปัจจัยสำคัญของจีนที่คนอาจไม่พูดถึงเยอะคือ บทบาทของสื่อจีน สื่อจีนมีบทบาทสำคัญมากที่ช่วยให้ประชาชนมีความมั่นใจในการแก้ปัญหาของรัฐ สื่อจีนนำเสนอภาพอะไรบ้าง นำเสนอภาพความร่วมมือร่วมใจ การเสียสละ นำเสนอภาพนักกีฬาจีนคนหนึ่งที่ถูกกักอยู่ในห้องเหมือนคนอื่น แล้วแกเป็นคนชอบวิ่งมาราธอน ก็นำเสนอภาพคนนี้ที่วิ่งมาราธอนในห้องตัวเอง คือวิ่งรอบเตียง
นี่คือสิ่งที่คิดว่าสื่อจีนมีบทบาทสำคัญมาก ๆ เลยที่ช่วยประชาชนมีความมั่นใจในการแก้ปัญหาของรัฐ สื่อจีนมีแต่นำเสนอภาพที่เป็นพลังบวกให้กับคนในชาติ นี่คือภาพใหญ่ ๆ และการแบ่งงานกันทำอย่างชัดเจนว่าคณะทำงานแต่ละชุดจะทำอะไรบ้าง
ที่สำคัญอีกอย่างที่ค่อนข้างชื่นชมจีนคือการใช้เทคโนโลยีมาแก้ปัญหา ใช้ Big Data ใช้ AI มาช่วย อย่างเช่นเรื่อง โดรน บางเมืองอย่างหนานจิง มีโดรนที่ยิงขึ้นมา แล้วโดรนนี้คอยประกาศข่าวว่า ตอนนี้เป็นอย่างไร สถานการณ์เป็นอย่างไร ใครที่มาจากเมืองอื่นต้อง Register (ลงทะเบียน) หรือถึงขั้นใช้ตำรวจที่ใส่หมวกกันน็อก เดินตระเวนดูแลพื้นที่ ที่หมวกกันน็อกของตำรวจจะติดตั้งเครื่องจับวัดไข้รัศมีประมาณ 5 เมตร ใครที่เดินตามถนนแล้วมีไข้ เครื่องนี้จับได้จะต้องแจ้ง นี่คือตัวอย่าง
แม้กระทั่งการกระจายหน้ากากอนามัย จีนก็มีสตาร์ตอัพที่มาช่วยรัฐบาล โดยการทำเป็นเครื่องแมชชีนกดซื้อหน้ากากอนามัย เอาบัตรประชาชนมาสแกน โน่นนี่นั่น ทั้งหลายทั้งปวงคือสิ่งที่จีนทำ ทำทุกอย่าง ใช้เทคโนโลยีรวมสรรพกำลังกันในการแก้ไขปัญหา
ในเรื่องเศรษฐกิจ หลังมีความเด็ดเดี่ยว เด็ดขาด ร่วมมือร่วมใจกันแก้วิกฤติสาธารณสุขเรียบร้อยแล้วน่าจะไปในทิศทางที่ดี แต่ที่น่าเป็นห่วงคือเศรษฐกิจ เพราะสิ่งที่จะตามมาคือวิกฤติทางเศรษฐกิจของจีนว่าจะฟุบหนักมั้ย สิ่งที่จีนทำอยู่ตอนนี้เท่าที่ดิฉันจับตา เขาก็ใช้ทั้งนโยบายด้านการเงิน และการคลังเพื่อทั้งกระตุ้นเศรษฐกิจและเยียวยาผลกระทบ
ที่สำคัญที่สุดคือมาตรการช่วยเอสเอ็มอี ซึ่งมีสัดส่วนประมาณ 60% ของจีดีพีจีน ถือเป็นภาคส่วนที่สำคัญมาก จีนใช้มาตรการที่เรียกว่า “ปล่อยน้ำเลี้ยงปลา” คือทำยังไงให้ปลาไม่ตาย เพราะถ้าไม่มีน้ำ ปลาจะแห้งตาย จีนก็อัดฉีดทั้งนโยบายการเงิน การคลัง มีหลายเรื่องมาก และหลายเรื่องที่จีนทำ เราก็ทำ ทั้งในเรื่องของภาษี เรื่องการอัดฉีด ลดดอกเบี้ย งดเว้นค่าเช่า งดเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล โดยเฉพาะบริษัทที่จัดหาอุปกรณ์ทางการแพทย์สำหรับปราบไวรัสตัวนี้ เขาให้ความช่วยเหลือเต็มที่ เขาซับซิดี้เต็มที่ นั่นคือส่วนของเอสเอ็มอี
แต่เงินก้อนใหญ่ของภาครัฐที่จะอัดฉีดเข้าไปคือ Government Spending (การใช้จ่ายของรัฐบาลหรือการลงทุนจากภาครัฐ)อันหนึ่งที่คิดว่ารัฐบาลน่าจะกำลังทำคือการอัดฉีดผ่านการวางโครงข่าย 5G จะเป็นเงินมหาศาลที่อัดฉีดเข้าไปในระบบเศรษฐกิจ และจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้แบบเรียกว่า ยาแรงยกเครื่องเลย กับโครงข่าย 5G นี้ ซึ่งถ้าเราดูประสบการณ์จีนตอนที่เขามีวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ จีนใช้วิธีอัดฉีดในเรื่องของการสร้างรถไฟความเร็วสูง เอาเป็นว่าตัว “G” คือกระสุนนัดสำคัญของรัฐบาลจีนที่งัดมาใช้ในการเสริม นอกจากมาตรการเยียวยา หรือประคองหลังปล่อยน้ำเลี้ยงปลาให้กับภาคธุรกิจแล้ว นี่คือทั้งหมดในสิ่งที่จีนทำ (Do)
ส่วนสิ่งที่จีนไม่ทำ (Don’t)ในช่วงสถานการณ์แบบนี้ และทำให้เขากำลังจะผ่านพ้นสถานการณ์นี้ไปได้ เป็นสิ่งที่เราควรเรียนรู้ด้วย คือทั้งรัฐบาลจีน ประชาชนจีน สื่อจีน เขาไม่ทำอะไร หรือ Don’t อันที่ 1 สิ่งที่รัฐบาลจีนไม่ทำคือ ไม่สร้างความสับสนให้กับประชาชน สิ่งที่สื่อจีนไม่ทำคือ ไม่นำเสนอข่าวที่ทำให้เกิดวิกฤติศรัทธา หรือไปกระพือข่าวปลอม(Fake News)ป่วนสังคม และสื่อจีนก็ไม่พาดหัวข่าวให้คนมีความเกลียดชังกัน และที่สำคัญสิ่งที่คนจีนไม่ทำคือ คนจีนเขาไม่แตกแยกกันเอง และคนจีนก็ไม่มัวแต่เสพสื่อไร้คุณภาพจนเกิดอคติ ที่สำคัญที่ดิฉันชื่นชมมากก็คือ คนจีนไม่มัวแต่ชี้นิ้วด่าคนอื่น หรือด่ารัฐบาล แล้วไม่มารับผิดชอบตัวเอง คนจีนเขากลับมาดูแลตัวเอง ดูแลครอบครัว และให้ความร่วมมือกับสิ่งที่รัฐบาลทำ
ดิฉันคิดว่า 3 ไม่ หรือ 3 Don’t นี้เป็นตัวสำคัญเลย เพราะมันจะบั่นทอนในสิ่งที่เราทำไป ถ้าเราเกิด 3 อย่างนี้ในประเทศเราหรือประเทศไหนก็ตาม เพราะฉะนั้นรัฐบาลจีน สื่อจีน และคนจีนเขาไม่ทำสิ่งเหล่านี้ เมื่อไม่ทำใน 3 สิ่งนี้ก็เลยทำให้เกิดพลังแห่งการศรัทธา และมันก็คือกำลังใจ เพราะฉะนั้นในยามวิกฤติสิ่งที่เป็นกำลังใจนี้สำคัญมาก เพราะไวรัสนี้ไม่มีใครอยากให้เกิด แต่เมื่อเกิดขึ้นมาแล้วเราจะขจัดมันอย่างไร นี่คือสิ่งสำคัญค่ะ
ทั้งนี้เมื่อจีนรบชนะมาหนึ่งสเต็ปแล้ว สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ไปในจีนก็คือ พฤติกรรมของคนจะเปลี่ยนไปคือจะเกิด Social Distancing หรือการรักษาระยะห่างในสังคม เช่นนั่งทานข้าวแยกโต๊ะกัน ระมัดระวังในการใกล้ชิดกัน และที่สำคัญคือการคำนึงถึงสุขภาพว่าจะปลอดภัยมั้ย โน่นนี่นั่น คิดว่าตรงนี้เราในฐานะคนไทยมองว่าเป็นสิ่งที่เราน่าจะมองเป็นโอกาสในการที่จะไปต่อกับจีน หลังวิกฤตินี้สงบแล้ว คืออะไร คือเราอาจจะมุ่งผลิตสินค้า พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ส่งเสริมสุขภาพ และประเทศไทยเราจริงๆ แล้วในสายตาของจีน เขามีภาพลักษณ์ด้านบวกกับไทย และวิกฤติครั้งนี้เราได้มีน้ำใจกับจีน คนจีนชื่นชมมาก
ดิฉันมั่นใจว่า ทุกอย่างถ้ากลับสู่ภาวะปกติแล้ว นักท่องเที่ยวจีนจะกลับมา และทางการแพทย์เราก็เป็นที่ยอมรับในจีน จำได้หรือไม่คุณหมอโรงพยาบาลราชวิถีเรารักษาคนไข้(โคโรนา หรือโควิด-19 )ได้ ที่เราเคลมว่าเป็นรายแรกของโลก จีนเขาเก็บข้อมูลพวกนี้ เพราะฉะนั้นเรื่อง เมดิคัล ฮับ เรื่องการรักษาทางการแพทย์ เรื่องสินค้าเพื่อสุขภาพคิดว่าเป็นอนาคตที่ไทยจะไปต่อกับจีนได้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ชี้ 4 แหล่งสำคัญไม่ปิด ชาวกรุงไม่ต้องกลัวอด