สื่อใหญ่ของสหรัฐรายงานว่า คณะทำงานของ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐอเมริกา กำลังมองข้ามความสำคัญของ นายแพทย์แอนโทนี ฟอซี ผู้อำนวยการสถาบันภูมิแพ้และโรคติดต่อแห่งชาติสหรัฐ แม้ว่านายแพทย์ฟอซีซึ่งเป็นถึงนายแพทย์ใหญ่ของคณะทำงานเฉพาะกิจด้านการควบคุมไวรัสโควิด-19 ของทำเนียบขาวด้วยนั้น จะมีบทบาทสำคัญอย่างมากใน การต่อสู้กับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์รายงานโดยอ้างการเปิดเผยของเจ้าหน้าที่อาวุโสประจำทำเนียบขาวรายหนึ่งว่า นายแพทย์ฟอซีไม่ได้รับเชิญให้สรุปรายงานข้อมูลแก่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และไม่ได้เข้าร่วมประชุมในห้องทำงานรูปไข่ที่ทำเนียบขาวมาเป็นเวลานานแล้ว
รายงานข่าวยังระบุด้วยว่า นายแพทย์ฟอซีไม่ได้พูดคุยกับประธานาธิบดีทรัมป์มาตั้งแต่ต้นเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ นับตั้งแต่โควิด-19 ระบาดทั่วสหรัฐ ความสัมพันธ์ระหว่างนายแพทย์ฟอซีกับทำเนียบขาว โดยเฉพาะกับประธานาธิบดีทรัมป์เองนั้น เต็มไปด้วยความตึงเครียด อันเนื่องมาจากความขัดแย้งเกี่ยวกับนโยบายการป้องกันโควิด-19
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา นายแพทย์ฟอซีได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์มาตรการรับมือการระบาดของโควิด-19 ในสหรัฐ หลังจำนวนผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตในหลายรัฐเพิ่มสูงขึ้น โดยหนึ่งในความเห็นของนายแพทย์ท่านนี้ก็คือ การเปิดเศรษฐกิจและผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ “เร็วเกินไป” นั้นจะทำให้เกิดการแพร่ระบาดระลอกใหม่ขึ้นมาได้ซึ่งยากแก่การควบคุม แต่ประธานาธิบดีเห็นว่า การใช้มาตรการล็อกดาวน์เนิ่นนานเกินไปจะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐพังพินาศ เขาต้องการให้เปิดเศรษฐกิจเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (7 ก.ค.) นายแพทย์ฟอซียังได้กล่าวในระหว่างการสตรีมสดว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ให้ “ข้อมูลเท็จ” เกี่ยวกับอัตราการเสียชีวิตจากโควิด-19 ในสหรัฐ "มีอีกหลายสิ่งที่อันตรายและเลวร้ายมากเกี่ยวกับโควิด-19 ดังนั้น อย่าหลงดีใจเพราะข้อมูลผิดๆ" นายแพทย์ฟอซีกล่าว
คำกล่าวของนายแพทย์ฟอซีมีขึ้นหลังจากที่คณะทำงานของประธานาธิบดีทรัมป์ รวมถึงตัวประธานาธิบดีเอง ออกแถลงถึง “ความคืบหน้า” ในการรับมือกับโควิด-19 ของสหรัฐ ด้วยการอ้างว่าสหรัฐนั้นมีอัตราการเสียชีวิตลดลง อีกทั้งประธานาธิบดีทรัมป์ยังทวีตข้อความอ้างว่า สหรัฐเป็นประเทศที่มีอัตราการเสียชีวิตจากโควิด-19 ต่ำที่สุดในโลก
อย่างไรก็ตามความเป็นจริงก็คือ จากข้อมูลของ worldometer ซึ่งเป็นเว็บไซต์รายงานข้อมูลล่าสุดที่มีการรวบรวมจากหน่วยงานด้านสาธารณสุขทั่วโลก สหรัฐฯยังคงเป็นประเทศที่มีผู้ติดเชื้อโควิด-19 มากที่สุดในโลก โดยมีจำนวนผู้ติดเชื้อสะสม 3,476,836 ราย และในบางพื้นที่ที่มีการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์และเปิดเศรษฐกิจอีกครั้ง เช่นที่รัฐเท็กซัส ซึ่งพบว่า เมื่อวันที่ 10 ก.ค.ที่ผ่านมา มีผู้ป่วยโรคโควิด-19 ที่ได้รับการยืนยัน จำนวนเพิ่มขึ้นภายในวันเดียวถึง 9,765 ราย ส่งผลให้มีผู้ป่วยสะสมเกิน 240,000 ราย และมีเสียชีวิตเพิ่ม 95 ราย ก่อนหน้านั้นเพียง 1 วันเพิ่งมีรายงานผู้ป่วยเสียชีวิตมากเป็นประวัติการณ์เกิน 100 รายในรัฐเท็กซัส
นายเกร็ก แอบบอตต์ ผู้ว่าการรัฐเท็กซัส ต้องออกมายอมรับว่า อาจจะต้องมีการปิดเศรษฐกิจกันอีกครั้ง หากไม่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วของโควิด-19ได้ “สถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดยังมาไม่ถึง ผู้มีผลตรวจโรคเป็นบวก (ผู้ติดเชื้อโควิด-19) มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น” แอบบอตต์กล่าวว่ามีความเป็นไปได้ ที่เท็กซัสจะมีผู้ป่วยโรคโควิด-19 เพิ่มขึ้นอีกในสัปดาห์หน้า เขาจึงขอให้ประชาชนปฏิบัติตามคําสั่งสวมหน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ในที่สาธารณะเพื่อไม่ให้ต้องมีการปิดเศรษฐกิจ (ล็อกดาวน์) อีกครั้ง
สถิติล่าสุดจากมหาวิทยาลัยจอห์นส์ ฮ็อปกินส์ ยังพบว่า จำนวนผู้ติดเชื้อใหม่เพิ่มขึ้นในอัตรา 5 % หรือมากกว่านั้นใน 37 มลรัฐของสหรัฐอเมริกาเวลานี้ ซึ่งรวมถึงในเมืองหลวงวอชิงตัน ดีซี ส่วนอัตราการติดเชื้อโควิด-19 ของผู้ป่วยรายใหม่ในทุก ๆ รอบ 7 วันมีจำนวนเฉลี่ยที่ 59,100 ราย
อนึ่ง นายแพทย์แอนโทนี ฟอซี เป็นแพทย์ที่มีความสามารถและมีผลงานเป็นที่ยอมรับในระดับโลก นายแพทย์ผู้นี้ได้รับรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลประจำปี 2556 จากผลงานวิจัยที่โดดเด่น ที่แสดงให้เห็นว่าเชื้อไวรัสเอชไอวี มีการแบ่งตัวในต่อมน้ำเหลือง และไปทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาวซีดีโฟร์ ส่งผลให้ผู้ได้รับเชื้อมีภูมิคุ้มกันต่ำและเจ็บป่วยจากการติดเชื้อฉวยโอกาส งานวิจัยดังกล่าวทำให้แพทย์สามารถประเมินผลสุขภาพผู้ป่วยหลังให้ยาต้านไวรัสชนิดผสมหลายตัวได้แม่นยำจากการตรวจเชื้อไวรัส (HIV Viral load) และซีดีโฟร์ อีกทั้งยังเป็นการสร้างมาตรฐานในการรักษาผู้ป่วยเชื้อไอชไอวีในปัจจุบัน โดยเปลี่ยนสภาพจากโรคที่รอวันตายมาเป็นโรคเรื้อรัง ที่สามารถทำให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้
ข้อมูลอ้างอิง
Dr. Anthony Fauci says U.S. coronavirus cases are surging because nation didn’t totally shut down