นายเจฟฟ์ เบซอส ผู้ก่อตั้ง บริษัท แอมะซอน ยักษ์ใหญ่ด้านอี-คอมเมิร์ซระดับโลก ซึ่งปัจจุบันมีอายุ 56 ปีและถูกจัดอันดับเป็น บุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก ในดัชนี Bloomberg Billionaires Index ยังคงทำสถิติเป็นบุคคลที่ทำรายได้เพิ่มในวันเดียวสูงที่สุดในโลก ที่รายได้เพิ่ม 13,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 408,200 ล้านบาทเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (20 ก.ค.) นับเป็นสถิติสูงสุดนับตั้งแต่ที่เคยมีการจัดทำดัชนีดังกล่าวมาในปี 2555
ทั้งนี้ ราคาหุ้นของ บริษัท แอมะซอนดอตคอม อิงค์ (Amazon.com Inc.) ของนายเจฟฟ์ เบซอส ขยับสูงขึ้น 7.9% เมื่อวันจันทร์ซึ่งเป็นการปรับขึ้นสูงสุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค. ปี 2561 โดยได้ปัจจัยหนุนจากแนวโน้มที่ผู้คนหันมาช้อปปิ้งออนไลน์กันมากขึ้นท่ามกลางสถานการณ์วิกฤติโควิด-19 และหากจะนับตั้งแต่ต้นปี 2563 มาจนถึงขณะนี้ ราคาหุ้นของแอมะซอนฯ ปรับตัวสูงขึ้นมาแล้ว 73%
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
"เจฟฟ์ เบซอส" เจ้าพ่ออเมซอน จ่ายค่าหย่าเมียทุบสถิติโลก 1.12 ล้านล้านบาท
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ในปี 2563 นี้ เบซอสร่ำรวยมากขึ้น โดยมูลค่าสินทรัพย์ของเขาปรับสูงขึ้นจาก 74,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐเมื่อต้นปี เป็น 189,300 ล้านดอลลาร์ หรือกว่า 5.94 ล้านล้านบาทแล้วในขณะนี้ แม้ว่าภาพรวมเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาในเวลานี้จะเข้าสู่ภาวะตกต่ำย่ำแย่ที่สุดนับตั้งแต่ยุคเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ The Great Depression ในช่วงทศวรรษ 1930 เป็นต้นมา กล่าวได้ว่า ความร่ำรวยส่วนตัวของเจฟฟ์ เบซอส นั้นมีมูลค่าสูงกว่ามูลค่าในตลาดของบริษัทเอกชนรายใหญ่ ๆ ของสหรัฐหลายรายด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นบริษัท เอ็กซอนโมบิล บริษัท ไนกี้ หรือ บริษัท แมคโดนัลด์ คอร์ป.
ทางด้านอดีตภรรยาของเบซอส คือนางแมคเคนซี เบซอส ก็ได้รับอานิสงส์จากการถือหุ้นบริษัทแอมะซอนเช่นกัน โดยเมื่อวันจันทร์ เธอมีรายได้เพิ่มขึ้นถึง 4,600 ล้านดอลลาร์ หรือกว่า 1.44 แสนล้านบาท และครองอันดับบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดเป็นลำดับที่ 13 ของโลกในดัชนีมหาเศรษฐีพันล้านของบลูมเบิร์ก
มหาเศรษฐีรายอื่น ๆ ในแวดวงเทคโนโลยีต่างก็ได้รับประโยชน์จากราคาหุ้นของบริษัทไฮเทคที่ทะยานสูงขึ้นในช่วงที่โลกกำลังเผชิญกับวิกฤติโควิด-19 ส่วนหนึ่งเนื่องจากคนส่วนใหญ่ต้องกักตัวเองอยู่กับบ้าน หรือทำงานจากบ้าน ทำให้มีการจับจ่ายใช้สอย เรียกใช้บริการต่าง ๆ ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ หลายบริษัทยังได้อานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่อัดฉีดช่วย รวมทั้งมาตรการทางการเงินและนโยบายดอกเบี้ยที่ธนาคารกลางนำมาช่วยประคองระบบเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ในอันดับของมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุด 10 คนแรกของโลก มี 7 คนมาจากแวดวงเทคโนโลยี ซึ่งรวมถึงนายอีลอน มัสก์ ผู้ก่อตั้งบริษัท เทสล่า และสเปซเอ็กซ์ ที่ปีนี้มีรายได้เพิ่มขึ้นแล้วถึง 47,000 ล้านดอลลาร์
ขณะที่นายมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท เฟซบุ๊ก อิงค์. มีรายได้เพิ่มขึ้นแล้วเกือบ ๆ 15,000 ล้านดอลลาร์เมื่อเทียบกับเมื่อช่วงต้นปี ถึงแม้ว่าจะต้องเผชิญกับกระแสต่อต้านและถูกบอยคอตต์จากเจ้าของสินค้าแบรนด์ดังหลายรายที่ไม่ยอมลงโฆษณาในเฟซบุ๊กก็ตาม
ข้อมูลอ้างอิง