จังหวัดท่าขี้เหล็ก ซึ่งตั้งอยู่ในรัฐฉานของประเทศเมียนมา กลายเป็น จุดแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่สร้างความหวาดผวาลามข้ามชายแดนเข้ามายังฝั่งไทยหลังมีรายงานข่าวคนงานไทยที่ทำงานในสถานบันเทิง โรงแรม ‘วันจีวัน’(1G1) ที่อยู่ในฝั่งท่าขี้เหล็ก ลักลอบข้ามชายแดนผ่านช่องทางธรรมชาติกลับมายังฝั่งไทยหลายคน พร้อมนำโควิด-19 กลับมาด้วย
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่เพียงทำให้มีการคุมเข้มและตรวจตราบริเวณจุดผ่านชายแดนอย่างเข้มงวดมากยิ่งขึ้น แต่ยังสะท้อนให้เห็นว่ามีจุดอ่อนและช่องโหว่อีกมากมาย ที่ทำให้หน่วยงานภาครัฐต้องตกอยู่ในสถานะต้องคอยไล่ตะครุบผู้ลักลอบข้ามชายแดน ที่ ณ วินาทีนี้ มีเรื่องของการควบคุมโรคระบาดเข้ามาเป็นประเด็นสำคัญ
สำหรับโรงแรมวันจีวัน ที่เป็นจุดศูนย์กลางการแพร่กระจายเชื้อโควิด-19 ล่าสุด โดยเป็นที่ทำงานของคนไทยถึง 180 คนนั้น มีตำแหน่งที่ตั้งอยู่ในบ้านสันทรายไต จ.ท่าขี้เหล็ก ริมลำน้ำสาย หลังตกเป็นข่าว ได้มีคนไทยที่ทำงานอยู่ที่นั่นได้ทยอยเดินทางกลับเข้ามายังฝั่งไทยแล้ว และเมื่อวานนี้ (2 ธ.ค.) มีอีก 17 คนที่แจ้งความประสงค์จะกลับเข้ามาโดยมีเจ้าหน้าที่สาธารณสุขและศูนย์ปฏิบัติการควบคุมโรค (ศปก.) เตรียมพร้อมรับกลุ่มคนงานกลับมาเพื่ออำนวยความสะดวกในการเข้าเมือง รวมทั้งการนำเข้าสู่กระบวนการตรวจร่างกายและกักตัวเพื่อดูอาการ
ทั้งนี้ ทางเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยได้เพิ่มความเข้มงวดในการคัดกรองผู้ที่เดินทางข้ามพรมแดน โดยเมื่อวันที่ 2 ธ.ค.ที่ผ่านมา นายประจญ ปรัชญ์สกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้มีประกาศคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดเชียงราย ขอให้คนไทยกลับตามช่องทางปกติโดยจะบริการตรวจโรคให้ฟรี เพื่อป้องกันการลักลอบหลบหนีกลับมาตามช่องทางธรรมชาติ
สำหรับผู้ที่เดินทางกลับมาในช่วงเช้าวานนี้ (2 ธ.ค.) มีจำนวน 23 คนเป็นชายจำนวน 8 คนและหญิงจำนวน 11 คน และพระสงฆ์ 4 รูป โดยผู้หญิงทั้งหมดทำงานอยู่ในโรงแรมวันจีวันดังกล่าว ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ได้ทำการตรวจหาไวรัสโควิด-19 ทุกคน จากนั้นได้นำตัวไปกักดูอาการที่ศูนย์กักดูอาการหรือ Local Quarantine ในเขต อ.เมืองเชียงราย ตามขั้นตอน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
“ท่าขี้เหล็ก”ภายใต้มาตรการล็อกดาวน์ ส่อแววเศรษฐกิจไข้จับซมยาว
เชียงรายวุ่น!ข่าวปลอม"โควิด"สะพัดห้ามเข้าทุกอำเภอ
เปิดไทม์ไลน์ "ติดโควิดเพิ่ม 6 ราย" ลักลอบเข้าเมือง พบข้อมูลเดินทางไป 6 จังหวัด
จับตาโรงแรม “1G1 HOTEL” ท่าขี้เหล็ก ...ต้นตอแพร่โควิด
นอกจากนี้ ในโอกาสเดียวกันทางเจ้าหน้าที่ได้ทำการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ในเจ้าหน้าที่ที่ประจำการอยู่ที่ด่านพรมแดนและคนขับรถบรรทุกสินค้าทั้งชาวไทย และเมียนมา อีกจำนวนประมาณ 300 คน ซึ่งทั้งหมดให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี เนื่องจากแม้จะมีการระบาดหนักในจังหวัดท่าขี้เหล็ก แต่ยังคงมีการเปิดด่านพรมแดนแห่งนี้เพียงจุดเดียว เพื่อขนส่งสินค้าระหว่างไทย-เมียนมา
สำหรับสถานการณ์ภายใน จ.เชียงราย ที่มีชายแดนติดกับจังหวัดท่าขี้เหล็กของเมียนมา พบว่ายังคงมีผู้ติดเชื้อรวมกันจำนวน 3 ราย โดยทั้งหมดมีอายุ 23 ปี 26 ปีและ 28 ปีลักลอบเข้ามาจากช่องทางธรรมชาติด้าน อ.แม่สาย เมื่อวันที่ 26 พ.ย.และ 27 พ.ย.ตามลำดับและเข้ารับการตรวจหาเชื้อจนพบในวันที่ 29 พ.ย.และ 30 พ.ย.ตามลำดับ หลังจากนั้นยังไม่มีการพบผู้ติดเชื้อเพิ่มเติม แต่ปรากฎข่าวสารทางสื่อสาธารณะมากมาย ทำให้ประชาชนทั่วไปวิตกกังวลว่าจะมีการประกาศปิดเมืองหรือล็อกดาวน์หรือไม่ ทั้ง ๆ ที่ยังไม่มีคำสั่งหรือประกาศใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าวยกเว้นประกาศคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดเชียงราย ที่ให้เข้มงวดในมาตรการป้องกันโรคและให้คนไทยกลับมาตามช่องทางปกติเท่านั้น
แต่ในฝั่งของท่าขี้เหล็ก นับตั้งแต่ปลายเดือนพ.ย.ที่ผ่านมา หลังจากที่มีการตรวจพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 ถึง 9 รายในวันเดียวเมื่อวันที่ 28 พ.ย. ทางการจังหวัดท่าขี้เหล็ก ก็ได้ออกคำสั่งให้ร้านค้า-สถานบริการปิดร้านตั้งแต่เวลา 18.00 น. และห้ามประชาชนออกนอกเคหะสถาน (เคอร์ฟิว) ตั้งแต่เวลา 00.00-04.00น. นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ยังได้ตั้งจุดตรวจ เพื่อตรวจเข้มการสวมใส่หน้ากากอนามัยของประชาชนทั่วเมืองท่าขี้เหล็กอย่างเข้มงวด และการเดินทางจากนอกพื้นที่เข้าไปยังตัวเมืองท่าขี้เหล็กจะต้องผ่านการตรวจคัดกรองและกักตัวเพื่อดูอาการ 21 วัน ที่ศูนย์กักกันโควิด-19 แต่สถานการณ์การแพร่ระบาดก็ยังไม่ได้บรรเทาเบาบางลง โดยข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 2 ธ.ค. ยังคงมีการตรวจพบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอีก 15 ราย ทำให้มียอดผู้ติดเชื้อสะสมในจ.ท่าขี้เหล็กจำนวนรวม 64 ราย
ส่วนยอดของผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในรัฐฉานนั้น สื่อท้องถิ่นระบุว่ามีจำนวนรวม 122 ราย และมีผู้เสียชีวิตแล้ว 1 ราย ท่าขี้เหล็กจึงเป็นจังหวัดที่มีการตรวจพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 มากที่สุดในรัฐฉาน
ทั้งนี้ ในส่วนของฝั่งไทย ด้าน จ.เชียงราย ซึ่งมีแนวชายแดนที่เป็นช่องทางธรรมชาติติดต่อกับประเทศเมียนมา ทางด้าน อ.แม่จัน อ.แม่ฟ้าหลวง อ.แม่สาย และ อ.เชียงแสน ทางหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารม้าที่ 3 กองกำลังผาเมือง ได้มีมาตรการป้องกันและเฝ้าระวังการลักลอบข้ามพรมแดน ด้วยการจัดกำลังลาดตระเวนตามพื้นที่แนวชายแดน ซึ่งมีรายงานข่าวว่าสามารถดักจับผู้ลักลอบเข้าเมืองได้อย่างต่อเนื่องและมีการส่งตัวไปยังสถานกักกันโรค ก่อนจะทำการผลักดันออกนอกประเทศเป็นลำดับต่อไป