สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงปารีส รายงานว่า อธิบดีกรมสาธารณสุขฝรั่งเศสได้เปิดเผยเกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด -19 ( covid-19 ) ในรอบสัปดาห์ โดยหลังจากที่ฝรั่งเศสมีจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัส covid-19 คงที่มาระยะหนึ่ง แต่ปัจจุบันพบว่าเริ่มมีแนวโน้มผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้น
เนื่องจากสภาพอากาศหนาวเย็นและชื้น และมีการเดินทาง พบปะของประชาชนมากยิ่งขึ้น โดยมีอัตราผู้ติดเชื้อเฉลี่ยทั่วประเทศ 123 ราย/ประชากร 1 แสนราย (เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งมีอัตรา 105 ราย/ประชากร 1 แสนราย)
โดยเพิ่มขึ้นในทุกกลุ่มอายุ ยกเว้นกลุ่มผู้มีอายุมากกว่า 75 ปี ซึ่งมีอัตราผู้ติดเชื้อคงที่อยู่ที่ 197 ราย/ประชากร 1 แสนราย และมีอัตราการแพร่เชื้อเฉลี่ยทั่วประเทศอยู่ที่ R1.03 (ผู้ติดเชื้อ 100 ราย สามารถแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้ 103 ราย) และมีอัตราสูงมากกว่า R 1.03 ในจังหวัดแถบตะวันออกของประเทศและแคว้น Ile de France
ขณะที่สถิติวันพฤหัสบดีที่ 17 ธ.ค.2563 (เวลา 14.00 น.) ยอดผู้ติดเชื้อสะสมรวม จำนวน 2,427,316 ราย (เพิ่มขึ้น 18,254 ราย) โดยเป็นผลทั้งจากการตรวจ Test PCR และ Test antigénique มีผู้ป่วยรักษาอยู่ที่ รพ. 25,182 ราย (ลดลง 133 ราย) โดยเป็นผู้ป่วยรายใหม่ 1,362 ราย ภายใน 24 ชม. (ลดลง 297 ราย) และมีผู้ป่วยอาการหนัก 2,808 ราย (ลดลง 42 ราย) โดยเป็นผู้ป่วยรายใหม่ 151 รายภายใน 24 ชม. (ลดลง 68 ราย)
ทั้งนี้ขอความร่วมมือให้ประชาชนเคารพมาตรการเคอร์ฟิวและใช้ความระมัดระวังในการดำรงชีวิตประจำวันมากยิ่งขึ้นเพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัสฯ โดยขอให้ลดการพบปะ/ติดต่อผู้คน และเมื่อมีอาการป่วยที่ต้องสงสัย ก็ขอให้แยกตัวในโอกาสแรกแม้ยังไม่ทราบผลการตรวจหาเชื้อ
สำหรับช่วงเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ ได้ย้ำถึงความสำคัญของการจำกัดจำนวนผู้เข้าร่วมโต๊ะรับประทานอาหารไม่ให้เกิน 6 คน (ไม่รวมเด็ก) และให้หลีกเลี่ยงการร่วมใช้ช้อนส้อม แก้วน้ำและจาน รวมทั้งแนะนำให้ถ่ายเทอากาศและสวมหน้ากากให้มากที่สุดเท่าที่สามารถทำได้ และหมั่นล้างมือทำความสะอาด
ขณะที่ความคืบหน้าของประธานาธิบดีฝรั่งเศส นาย "เอ็มมานูเอล มาครง” ที่ตรวจหาเชื้อไวรัส covid-19 ประเภท test PCR เป็นบวก โดยปัจจุบัน นาย "เอ็มมานูเอล มาครง” ยังคงไม่มีอาการที่น่าเป็นห่วงแต่อย่างใดและจะแยกตัวเป็นเวลา 7 วัน (ตามแนวปฏิบัติทางสาธารณสุขของฝรั่งเศส) และจะยังคงปฏิบัติหน้าที่จากทางไกลต่อไป แต่จะยกเลิกกำหนดการที่ไม่สามารถกระทำได้โดยทางไกลทั้งหมดไปก่อน (อาทิ การเดินทางเยือนเลบานอน)
เบื้องต้นยังไม่ทราบรายละเอียดสาเหตุของการติดเชื้อไวรัสฯ ของประธานาธิบดี "มาครง” แต่ก่อนหน้านี้ประธานาธิบดีได้เข้าร่วมการประชุมระหว่างประเทศจำนวนมาก อาทิ EU Summit ที่กรุงบรัสเซลส์ และได้ร่วมประชุม ครม. เมื่อวานนี้ ซึ่งเป็นผลให้ นายกรัฐมนตรี ฝรั่งเศสต้องแยกตัวเป็นเวลา 7 วันเช่นกันเนื่องจากถือว่าเป็นผู้ที่ได้ใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อ และได้ทำการตรวจหาเชื้อแล้วในช่วงเช้าของวันที่ 17 ธค. ซึ่งผลเป็นลบแต่ก็ยังคงต้องแยกตัวและทำการตรวจหาเชื้ออีกครั้งหนึ่งใน 7 วัน
ทั้งนี้ ประธานาธิบดีเริ่มมีไข้และมีอาการไอแห้งเมื่อช่วงค่ำของวันที่ 16 ธ.ค. จึงได้แยกตัวและทำการตรวจหาเชื้อตั้งแต่ช่วงเช้าของวันที่ 17 ธ.ค. โดยภริยาประธานาธิบดีก็ได้แยกตัวเช่นเดียวกัน แม้ว่าจะเพิ่งตรวจหาเชื้อฯ เมื่อวันที่ 15 ธ.ค. ก่อนเดินทางเยือน รพ. Saint-Louis กรุงปารีส และมีผลเป็นลบก็ตาม เนื่องจากถือว่าเป็นผู้ใกล้ชิดผู้ติดเชื้อ
นอกจากนี้ ยังมีผู้ที่ต้องแยกตัวรายอื่น ๆ เนื่องจากเป็นผู้ที่ได้ใกล้ชิดกับประธานาธิบดีในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา อาทิ ปธ.สภาผู้แทนราษฎรฝรั่งเศสนายริชาร์ด แฟร์รองด์ ,นายกรัฐมนตรีเบลเยียม , นายกรัฐมนตรีสเปน , นายกรัฐมนตรีโปรตุเกส ,เลขาธิการ OECD ,ปธ. คณะมนตรียุโรป นายชาร์ลส มิเชล และนักการเมืองฝรั่งเศสอีกหลายคน