โควิดทำกระแส “ชังชาวเอเชีย” พุ่งในสหรัฐ

15 ก.พ. 2564 | 03:12 น.
อัปเดตล่าสุด :15 ก.พ. 2564 | 03:23 น.

การกล่าวหา “ชาวจีน” เป็นต้นเหตุของไวรัสโควิดรวมทั้งท่าทีของอดีตประธานาธิบดีสหรัฐ มีส่วนทำให้กระแสชิงชังชาวเอเชียในสหรัฐพุ่งทะยานและนำไปสู่คดีอาชญากรรมและการใช้ความรุนแรง

เหตุการณ์ทำร้ายคนอเมริกันเชื้อสายเอเชีย รวมทั้งชาวเอเชียที่อาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกา เพิ่มสูงขึ้นมากในระยะหลัง ๆนี้ ทำให้ นางคามาลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดีสหรัฐ ซึ่งเป็นชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกัน-เอเชีย  ต้องออกมาทวีตเรียกร้องให้ชาวอเมริกันร่วมกัน ต่อต้านการเหยียดสีผิวและชาติพันธุ์ รวมถึงความอยุติธรรมในสังคมที่เกิดจากอคติในเรื่องเชื้อชาติ

 

นางคามาลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดีสหรัฐ

นางคามาลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดีสหรัฐ ออกมายอมรับเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา (12 ก.พ.) ซึ่งตรงกับวันตรุษจีนว่า คดีก่ออาชญากรรมที่เพ่งเล็งเป้าหมายมาที่คนอเมริกันเชื้อสายเอเชีย รวมทั้งชาวเอเชียที่เข้าไปทำงานอยู่ในสหรัฐอเมริกาได้พุ่งทะยานขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะในช่วงที่สหรัฐกำลังเผชิญกับโรคระบาดโควิด-19 ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องเพิ่มกำลังและเข้าไปตระเวนตรวจตราในย่านไชน่าทาวน์ หรือชุมชนคนจีนและชาวเอเชียหลายแห่งในสหรัฐมากเป็นพิเศษ  

 

วันถัดมา 13 ก.พ. แฮร์ริสยังทวีตข้อความบนทวิตเตอร์ส่วนตัว ระบุว่า “อาชญากรรมที่เกิดจากความเกลียดชัง” และการใช้ความรุนแรงต่อชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียรวมถึงชาวเอเชียในสหรัฐ ทำให้รัฐบาลสหรัฐจำเป็นต้องเข้ามาจัดการและดูแลในเรื่องนี้ “เราจะต้องร่วมกันต่อสู้ต่อไปเพื่อขจัดการเหยียดผิวและความอยุติธรรม”

 

ในระยะหลัง ๆมานี้มีหลายคดีทำร้ายร่างกายในสหรัฐที่ดูจะมุ่งเป้าหมายมาที่ชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียหรือชาวเอเชีย ยกตัวอย่างล่าสุดกล้อง CCTV ริมถนนสามารถจับภาพคนร้ายกำลังทำร้ายผู้สูงวัยเชื้อสายเอเชียในย่านเบย์แอเรียของรัฐแคลิฟอร์เนียเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา มีการส่งต่อภาพคลิปดังกล่าวปากต่อปากจนกลายเป็นกระแสไวรัลวิพากษ์วิจารณ์อย่างแพร่หลายในโลกโซเชียลมีเดีย

คลิปชายสูงวัยเชื้อสายเอเชียถูกทำร้ายในย่านไชน่าทาวน์เมื่อเร็วๆนี้
 

อีกคลิปแสดงภาพชายวัย 91 ปีถูกจู่โจมทำร้ายจากด้านหลังจนเขาล้มหน้าคว่ำลงไปกับพื้นในย่านไชน่าทาวน์เมืองโอ๊คแลนด์ ซึ่งเป็นบ้านเกิดของรองประธานาธิบดีแฮร์ริส  ส่วนคลิปที่รุนแรงที่สุดดูจะเป็นคลิปวิดีโอที่แสดงให้เห็นภาพชายชาวไทยวัย 84 ปี (คุณวิชา รัตนภักดี) ที่ถูกผลักอย่างแรงจากด้านหลังทำให้เขาล้มลงและเสียชีวิตในเวลาต่อมา เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในเมืองซานฟรานซิสโก

 

การที่รองปธน.แฮร์ริสออกมาแสดงความเห็นในเรื่องดังกล่าวในช่วงเทศกาลตรุษจีนประกอบกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้วันหยุดตรุษจีนปีนี้ในสหรัฐลดความคึกคักลงไปมาก นางจูดี ชู สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรคเดโมแครตจากรัฐแคลิฟอร์เนีย ประธานคณะกรรมาธิการกิจการชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียแปซิฟิกของสภาคองเกรส ให้ความเห็นว่าการเพ่งเล็งเป้าหมายทำร้ายชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียหรือชาวเอเชียในชุมชนคนจีนได้ส่งผลกระทบเชิงลบและสร้างความหวาดวิตกให้เกิดขึ้นในช่วงเวลาแห่งเทศกาลตรุษจีน ซึ่งโดยแท้จริงแล้วเป็นช่วงเวลาแห่งความภาคภูมิใจในวัฒนธรรมและเป็นเวลาแห่งการเฉลิมฉลองของชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียจำนวนหลายล้านคน

 

ผลการศึกษาของสมาคมนักกฎหมายอเมริกัน-เอเชียในนิวยอร์กเมื่อเร็ว ๆนี้ชี้ว่า ระหว่างเดือนมี.ค. ถึง ก.ย. 2563 ทั่วประเทศสหรัฐมีรายงานการทำร้ายร่างกายหรือการใช้ความรุนแรงกับชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียรวมทั้งชาวเอเชียในสหรัฐ จำนวนมากกว่า 2,500 คดีโดยมีความเกี่ยวเนื่องกับโควิด-19 รายงานระบุว่า การก่อคดีหรือใช้ความรุนแรงโดยมีสาเหตุมาจากความเกลียดชังต่อชาวเอเชีย เพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในสหรัฐ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลพวงมาจากท่าทีของผู้นำรัฐบาลในเวลานั้น เช่นอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ออกมาพูดเสมอว่า “จีน” เป็นต้นเหตุทั้งหมดทั้งมวลของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่ก่อให้เกิดโรคระบาดโควิด-19 ไปทั่วโลก โดยเขาเรียกไวรัสดังกล่าวว่า “ไวรัสจีน” และเรียกโรคนี้ว่า “กังฟลู” (Flu แปลว่าโรคหวัด และทรัมป์เลือกใช้คำว่า “กังฟู” ซึ่งเป็นศิลปะการป้องกันตัวของชาวจีนมาใช้เรียกให้พ้องเสียงกับคำว่า ฟลู ที่แปลว่าโรคหวัด)    

ตัวเลขที่แท้จริงของคดีหรือจำนวนผู้ถูกทำร้ายอาจมีมากกว่าที่รายงานระบุเนื่องจากเหตุการณ์ส่วนใหญ่เกิดขึ้นแล้วก็ไม่มีใครไปแจ้งความหรือรายงานอย่างเป็นทางการจึงไม่มีการบันทึกสถิติเอาไว้

 

เจน ซากี โฆษกทำเนียบขาวตอบคำถามนักข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้และได้กล่าวประณามพฤติกรรมการเหยียดเชื้อชาติ “ท่านประธานาธิบดีกล่าวชัดในเรื่องนี้ว่า การทำร้ายไม่ว่าจะด้วยกายกรรม วจีกรรม หรือในรูปแบบใด ๆก็ตาม เป็นเรื่องที่ไม่อาจยอมรับได้ และเราจำเป็นต้องร่วมมือกันแก้ไขปัญหาดังกล่าว” โฆษกทำเนียบขาวระบุ และยังเปิดเผยต่อไปว่า เมื่อวันที่ 26 ม.ค.ที่ผ่านมา ปธน.ไบเดนได้ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารฉบับหนึ่งที่มุ่งให้ความคุ้มครองและแก้ไขปัญหาการเหยียดเชื้อชาติที่พุ่งเป้าไปยังชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชีย แต่การมีกฎหมายก็ยังไม่เพียงพอ เพราะการจะแก้ไขปัญหาให้หมดไปจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือกันของทุกภาคส่วน และสร้างความตระหนักในสังคมเกี่ยวกับความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นและคนในสังคมควรจะต้องปกป้องซึ่งกันและกัน