โควิดไล่ทุบส่งออก 500 โรงงานระส่ำติดเชื้อ จี้รัฐอัดยาแรง ฉีดตรงเงินเยียวยา

28 ก.ค. 2564 | 07:18 น.

โควิดติดเบรกส่งออกไทยเครื่องยนต์สะดุด กระทรวงอุตฯเผยข้อมูลล่าสุด พบเกือบ 500 โรงงานมีผู้ติดเชื้อ อุตสาหกรรมอาหารมากสุด กระทบบิ๊กส่งออกเดี้ยงถ้วนหน้า ค่าย “โตโยต้า” ปิด 3 โรงงาน ประเมิน สถานการณ์ใหม่ 29 ก.ค. บิ๊กสภาอุตฯ-หอการค้าแนะอัดยาแรง เร่งฉีดวัคซีน คู่ฉีดเยียวยา

สถานการณ์โควิดในไทยยังระบาดรุนแรง และน่าห่วง เฉพาะอย่างยิ่งภาคการผลิตเพื่อส่งออกของประเทศที่ยังเป็นเครื่องยนต์หลักเพียงเครื่องยนต์เดียวในเวลานี้ที่ช่วยพยุงเศรษฐกิจ แม้ตัวเลขการส่งออก 6 เดือนแรกยังขยายตัวได้สูงถึง 15.5% โดยที่การส่งออกเดือนมิ.ย.ล่าสุดส่งออกได้ 23,699 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัว 43.8% ทำนิวไฮขยายตัวสูงสุดรอบ 11 ปี แต่จากปัญหาโควิดที่กำลังระบาดรุนแรงและลุกลามในคลัสเตอร์โรงงานผลิตเพื่อส่งออกที่หนักหน่วงมากขึ้น ส่งผลสถานการณ์ไม่น่าไว้ใจ อาจกระทบการส่งออกไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่ทุกสำนักออกมาคาดการณ์ได้

 

โรงงานอาหารติดเชื้อมากสุด

 ล่าสุดข้อมูลจากกระทรวงอุตสาหกรรม ณ วันที่ 26 ก.ค.2564 (เก็บข้อมูลตั้งแต่วันที่ 10 มิ.ย.64) ตัวเลขสะสมการระบาดของโรคโควิดในโรงงานทั่วประเทศมีจำนวน 486 แห่ง ผู้ติดเชื้อ 34,938 คน ครอบคุลม 48 จังหวัด โดยที่มีผู้ติดเชื้อในโรงงานมากที่สุด 5 อันดับแรกได้แก่ เพชรบุรี (4,464 คน) เพชรบูรณ์ (3,481 คน) ประจวบคีรีขันธ์ (2,538 คน) สมุทรสาคร (2,293 คน) และสงขลา (2,158 คน) โดยอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบมากสุด 5 อันดับแรกได้แก่ อาหาร (93 โรง) อิเล็กทรอนิกส์ (67 โรง) เครื่องนุ่งห่ม (39 โรง) โลหะ (38 โรง) และพลาสติก (35 โรง)

 

โควิดไล่ทุบส่งออก 500 โรงงานระส่ำติดเชื้อ  จี้รัฐอัดยาแรง ฉีดตรงเงินเยียวยา

บิ๊กส่งออกสำลักพิษ

 นายเกรียงไกร เธียรนุกุล รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า จากเชื้อโควิดที่ลามกระทบในหลายโรงงานที่เป็นผู้ส่งออกอันดับต้น ๆ ในหลายอุตสาหกรรม ที่พบมีผู้ติดเชื้อทั้งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้จนถึงปัจจุบัน เช่น โรงงานผลิตถุงมือยางของบริษัทศรีตรังแอโกรอินดัสทรีที่ จ.ตรัง,โรงงานผลิตอิเล็กทรอนิกส์ ของบริษัทแคล-คอมพ์ฯ ที่ จ.เพชรบุรี,โรงงานแปรรูปไก่ ของซีพีเอฟ ที่สระบุรี โรงงานแปรรูปไก่ของเครือเบทาโกร ที่ จ.ลพบุรี และล่าสุดคือโรงงานแปรรูปไก่เครือสหฟาร์มที่ จ.เพชรบูรณ์ที่มีผู้ติดเชื้อมากกว่า 3 พันคน

 

 “บริษัทที่มีผู้ติดเชื้อโควิดส่วนใหญ่เป็นผู้ส่งออกในอันดับต้น ๆ ของแต่ละอุตสาหกรรม ซึ่งเมื่อหยุดการผลิตก็จะกระทบซัพพลายเชนที่เกี่ยวเนื่องอีกหลายอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบตามไปด้วย ทั้งนี้ตามแนวโน้มการส่งออกในภาพรวมของประเทศมีทิศทางที่ดีต่อเนื่อง โดยในการประชุม กกร.ล่าสุดในเดือนกรกฎาคมได้ปรับเพิ่มคาดการณ์ส่งออกไทยทั้งปีจะขยายตัวได้ที่ 8-10% แต่จากสถานการณ์โควิดที่รุนแรงคงต้องรอลุ้นในการประชุม กกร.ประจำเดือนสิงหาคมจะปรับเพิ่ม หรือลดคาดการณ์ส่งออกอย่างไร”

 

เกรียงไกร  เธียรนุกุล

 

ชงอัดยาแรงจ่ายตรงเยียวยา

 นายเกรียงไกร กล่าวอีกว่า สำหรับการหยุดยั้งโควิดให้ได้ผล รัฐคงต้องทำ 2 มาตรการทางด้านสาธารณสุขควบคู่กันคือ การเร่งจัดหาวัคซีนให้มีมากพอ เข้ามาเร็ว เป็นวัคซีนที่มีคุณภาพต้านทานเชื้อโควิดที่กลายพันธุ์ได้ และเร่งระดมฉีดให้ได้มากที่สุด รวมถึงการปลดล็อกชุดตรวจโควิดเชิงรุก (Rapid Antigen Test Kit) ให้โรงงานต่าง ๆ สามารถนำไปตรวจคัดกรองคนงานได้ด้วยตัวเอง โดยพนักงาน/เจ้าหน้าที่ให้ได้รับการฝึกอบรมในการใช้ชุดตรวจ เพื่อลดภาระต้นทุน และลดภาระบุคลากรทางการแพทย์ ล่าสุดสถานการณ์น่าห่วงมาก โดยผลจากที่แต่ละโรงงานได้มีการตรวจคัดกรองพนักงานเชิงรุกล่าสุดพบในแต่ละโรงงานมีผู้ติดเชื้อโควิดเฉลี่ยที่ 15-20%  ของจำนวนพนักงาน บางโรงสูงถึง 20-30% เนื่องจากสายพันธุ์ใหม่ (เดลต้า) ติดเชื้อได้ง่ายมาก

 

 ส่วนมาตรการยาแรงหากมาตรการด้านสาธารณาสุขยังควบคุมไม่ได้ผลและเกินจะรับมือไหวอาจต้องมีการขยายพื้นที่ล็อกดาวน์เพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้เกิดความเสียทางด้านเศรษฐกิจเพิ่ม รัฐต้องเตรียมมาตรการฉุกเฉินและกลไกพิเศษในการจ่ายเงินชดเชยหรือเยียวยาภาคธุรกิจที่จะได้รับผลกระทบ ตัวอย่างสหรัฐฯที่มีการจ่ายเงินชดเชยเข้าบัญชีของผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบโดยตรง ในอัตราเดียวกับรายได้พึงประเมินก่อนเกิดโควิด เพื่อให้เขาสามารถประคองและฟื้นธุรกิจให้กลับมาได้

 

พึ่งวัดตั้ง รพ.สนาม

 นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า จากผลกระทบโควิดที่ลามสู่โรงงานผลิตส่งออก ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ได้ใช้มาตรการ Bubble & Seal คัดแยกคนที่ติดเชื้อและไม่ติดเชื้อออกจากกัน ซึ่งตามข้อกำหนดหากมีพนักงานติดเชื้อเกิน 10% ต้องมีการตั้งโรงพยาบาลสนามในโรงงาน เวลานี้หลายโรงได้เริ่มแล้ว แต่ในรายที่ไม่มีพื้นที่มากพอเวลานี้มีทางเลือกใหม่คือไปใช้สถานที่วัดที่อยู่โดยรอบ หรือใกล้โรงงานในการตั้งโรงพยาบาลสนามในลักษณะเช่าพื้นที่ โดยเอกชนออกค่าใช้จ่าย หรือหากวัดใดมีมูลนิธิ หรือมีกองทุนที่อยากช่วยก็แล้วแต่จะคุยกัน

 

วิศิษฐ์  ลิ้มลือชา

 

 “การแก้ปัญหาโควิดโดยการล็อกดาวน์หรือประกาศเคอร์ฟิวทั่วประเทศคงทำได้ยาก เพราะจะกระทบเศรษฐกิจและทุกภาคส่วนในวงกว้าง ซึ่งธุรกิจล้มแล้วลุกยาก คงต้องล็อกดาวน์เป็นจุด ๆ และเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ตามสถานการณ์ความรุนแรง แต่หากจะทำมาตรการรัฐต้องครบทุกด้าน ทั้งการเร่งฉีดวัคซีนในคลัสเตอร์ที่มีผู้ติดเชื้อมาก ๆ การใช้ชุดตรวจสอบ Test Kit เชิงรุก การแยกแยะว่ากิจการไหนต้องหยุดบ้าง ธุรกิจไหนยุดไม่ได้เช่น ร้านอาหาร ร้านขายยา หากล็อกดาวน์ 100% ก็ต้องมีอาหารให้ครบทั้ง 3 มื้ออย่างอู่ฮั่นโมเดล ที่ถูกล็อกดาวน์ เมืองรอบ ๆ ยังผลิตอาหารป้อนได้ เป็นต้น อย่างไรก็ตามในกลุ่มสินค้าอาหารส่งออกท่ามกลางสถานการณ์โควิดปีนี้ยังมั่นใจว่าจะส่งออกได้ที่ระดับ 1 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 3-5%”

“โตโยต้า” ลุ้น 29 ก.ค. ประเมินใหม่

 ด้านบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ที่ประกาศให้โรงงานผลิตรถยนต์ 3 แห่งในไทยหยุดยาว 9 วัน จากปัญหาขาดแคลนชิ้นส่วนเพื่อการผลิต เพราะโรงงานของซัพพลายเออร์ต้องปิดหลังพบพนักงานติดโควิด-19 นั้น สำหรับโตโยต้า มีโรงงานผลิตรถยนต์ 2 แห่งที่ จ.ฉะเชิงเทรา คือ บ้านโพธิ์ กำลังการผลิตเต็มที่ 2.2 แสนคันต่อปี และเกตเวย์ 3 แสนคันต่อปี รวมถึงโรงงานสำโรง จ.สมุทรปราการ 2.4 แสนคันต่อปี โดยทั้ง 3 โรงงานหยุดการผลิตชั่วคราวจากผลกระทบด้านโควิด-19 ตั้งแต่วันที่ 20-23 กรกฎาคม ที่ผ่านมา และต่อเนื่องวันหยุดตามปฎิทินของบริษัท 24-28 กรกฎาคม 2564 ซึ่งในวันที่ 29 กรกฎาคม โตโยต้าจะประเมินสถานการณ์อีกครั้ง ว่าจะวางแผนการผลิตในแต่ละโรงงานอย่างไร

 

 ขณะที่หลายบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ในไทย ต้องประเมินสถานการณ์การผลิตแบบสัปดาห์ต่อสัปดาห์ จากปัญหาโควิด-19 และการขาดแคลนชิ้นส่วนการผลิต ที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบไปจนถึงสิ้นปีนี้ อย่างไรก็ตาม กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ ส.อ.ท. เพิ่งปรับเป้าหมายการส่งออกรถยนต์ในปี 2564 จากเดิมที่ตั้งไว้ 7.5 แสนคัน เพิ่มเป็น 8.0 - 8.5 แสนคัน

 

โควิดไล่ทุบส่งออก 500 โรงงานระส่ำติดเชื้อ  จี้รัฐอัดยาแรง ฉีดตรงเงินเยียวยา

 

แบงก์ชี้ไม่กระทบ รง.ไก่มาก

 แหล่งข่าวจากธนาคารพาณิชย์ กล่าวว่า สถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด ในโรงงานหรือบริษัทขนาดใหญ่เกิดภาวะชั่วคราว ในโรงงานแปรรูปไก่หลายจุด ซึ่งอาจจะกระทบบ้างในเชิงการผลิต เมื่อมีเหตุการณ์เกิดขึ้นบริษัทสามารถแจ้งคู่ค้าได้ เพราะผู้ประกอบการ บริษัทหรือโรงงานส่วนใหญ่มักจะมีสต๊อกสินค้า แต่บางชิ้นส่วนอาจจะน้อย (เช่นโรงงานแปรรูปไก่ของซีพีเอฟ ที่สระบุรี และสหฟาร์ม ที่เพชรบูรณ์) เมื่อปิด 14 วันจะกลับมาผลิตได้ต่อ ขึ้นอยู่กับสัดส่วนส่งออก เพราะปิด 14 วันมาเปิดได้ โดยจะไม่เสียหายเหมือนโรงงานที่ถูกน้ำท่วม ทำให้เครื่องจักร หรือเครื่องมืออุปกรณ์เสียหาย

หน้า 1 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3700 วันที่ 29-31 ก.ค. 2564