นายภูสิต รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า ปัจจุบันมีการนำผ้าไหมไปสร้างสรรค์ผลงาน ตั้งแต่ผ้าไหมที่สวมใส่ เสื้อผ้า งานตกแต่งบ้าน เฟอร์นิเจอร์ เป็นสินค้า OTOP และสินค้าส่งออกยอดนิยม ซึ่งแพร่หลายทั้งในและต่างประเทศ โดยนำผ้าไหมมาออกแบบให้ดูทันสมัย ประยุกต์ปรับเปลี่ยนตามแฟชั่น นอกจากจะเป็นการเผยแพร่เอกลักษณ์ความเป็นไทยที่ถ่ายทอดออกมาเป็นเนื้อผ้าแล้ว ยังเพิ่มมูลค่าของผลิตภัณฑ์ และมีส่วนช่วยเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกรผู้เลี้ยงไหม ซึ่งเกษตรกรและผู้ประกอบการที่ผลิตผ้าไหม จะต้องติดตามความต้องการของตลาด และพัฒนาสินค้าผ้าไหมให้ตรงตามความต้องการ ก็จะทำให้ขายสินค้าได้มากขึ้น และมีรายได้เพิ่มขึ้น
โดยตัวอย่างผ้าไหมที่ตลาดมีความต้องการ เช่น 1.ผ้าผืนไหมย้อมสีธรรมชาติ เช่น ผ้าผืนไหมทอลายดอกหมากย้อมสีธรรมชาติ อำเภอศีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งปัจจุบันทำการย้อมเส้นใยสีธรรมชาติที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมไม่ใช้สารเคมี ช่วยเพิ่มมูลค่ากับให้กับงานฝีมือ เนื้อไหมนุ่มเนียน เบา เย็นสบาย แต่อุ่นเมื่ออยู่ในที่เย็น 2.ชุดผ้าไหม ที่มีการนำผ้าไหมมาทำชุดใส่ทั้งออกงานและสวมใส่ในชีวิตประจำวันกันมากขึ้นและใส่ได้ทุกวัย 3.หน้ากากผ้าไหม
ที่สามารถป้องกันฝุ่นละอองและเชื้อโรค และช่วยเสริมความสวยงาม ความหรูหราที่สอดแทรกไปกับความทันสมัย 4.ผ้าไหมกับงานตกแต่งบ้าน เช่น ผนังวอลเปเปอร์ ผ้าม่าน เป็นต้น และ 5.ผ้าไหมใช้กับเฟอร์นิเจอร์ เช่น เบาะรองนั่ง โซฟา หมอนอิง เป็นต้น
สำหรับการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพของผ้าไหมไทย หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องเร่งส่งเสริมองค์ความรู้เทคโนโลยีและการเลี้ยงไหมให้ได้มาตรฐานครบวงจร แก่เกษตรกรให้ตรงตามความต้องการของตลาด เพื่อส่งไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่าให้แก่เส้นไหม และจะต้องเพิ่มช่องทางการประชาสัมพันธ์และการตลาดให้แก่ผู้ประกอบการ เพื่อเผยแพร่ให้ผู้บริโภคทราบช่องทางการซื้อขายผ้าไหมหรือผลิตภัณฑ์ รวมทั้งต้องช่วยสร้างการเล่าเรื่องที่มาของเส้นไหมจนถึงออกมาเป็นผ้าผืน เพื่อให้ผู้ซื้อทั้งในและต่างประเทศทราบถึงกระบวนการต่าง ๆ ในความพยายามของเกษตรกรตลอดการผลิตจนถึงออกมาเป็นผ้าผืนและผลิตภัณฑ์
ปัจจุบัน การผลิตไหมของไทย มี 2 แบบ คือ การเลี้ยงไหมแบบครัวเรือนหรือหัตถกรรม และการเลี้ยงไหมแบบอุตสาหกรรม เพื่อนำไปทอผ้าเป็นผ้าไหม โดยมีการเลี้ยงไหมกระจายอยู่ทั่วทุกภาคของประเทศ รวม จำนวนเกษตรกรที่เลี้ยงไหมทั้งประเทศ 30,254 ราย (อ้างอิงจากกรมหม่อนไหม ณ เดือนมี.ค.2564) ส่วนประเภทของผ้าไหมไทยแบ่งตามลักษณะการทอ เช่น ผ้าไหมทอมือลายขัด ผ้าไหมมัดหมี่ ผ้าไหมขิด ผ้าไหมจก ซึ่งรู้จักในชื่อของผ้าแพรวา และผ้าไหมยก
ทั้งนี้ในปี 2563 ไทยส่งออกไหม (ประเภทสินค้า รังไหม ไหมดิบ เศษไหม ด้ายไหม) ปริมาณ 224.56 ตัน มูลค่า 184.44 ล้านบาท ตลาดหลัก คือ ญี่ปุ่น สหรัฐฯ จีน ฝรั่งเศส และตุรกี และยังส่งออกผลิตภัณฑ์ไหมในรูปแบบของผ้าผืนและเสื้อผ้าสำเร็จรูป โดยไทยส่งออกผ้าผืนทำจากไหม มีมูลค่า 138.70 ล้านบาท ตลาดสำคัญ ได้แก่ สหรัฐฯ ฝรั่งเศส ไอร์แลนด์ ฮ่องกง และญี่ปุ่น ส่วนการส่งออกเสื้อผ้าสำเร็จรูปทำจากไหม มีมูลค่า 64.60 ล้านบาท ตลาดสำคัญ ได้แก่ ฮ่องกง สวิตเซอร์แลนด์ ญี่ปุ่น สหรัฐฯ สิงคโปร์ เป็นต้น