เอ็มเอพี โชว์เทคโนโลยีโรงแยกอากาศนวัตกรรมความเย็นจาก LNG แห่งแรกในไทย

16 ธ.ค. 2564 | 14:23 น.
อัปเดตล่าสุด :16 ธ.ค. 2564 | 21:23 น.

เอ็มเอพี โชว์เทคโนโลยีโรงแยกอากาศนวัตกรรมความเย็นจาก LNG แห่งแรกในประเทศไทย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตอบรับนโยบาย BCG มุ่งสู่เป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์

รายงานข่าวระบุว่า บริษัท มาบตาพุด แอร์โปรดักส์ จำกัด หรือ เอ็มเอพี ได้ดำเนินการจัดสัมมนาในรูปแบบออนไลน์ เพื่อนำเสนอเทคโนโลยีโรงแยกอากาศที่ใช้นวัตกรรมความเย็นจากก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ด้วยมาตรฐานระดับโลกเพื่อรองรับความต้องการใช้ก๊าซในโรงงานอุตสาหกรรม และสนับสนุนการผลิตของอุตสาหกรรมแห่งอนาคต (New S-Curve) ซึ่งเป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญด้วยนวัตกรรมและยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
ทั้งนี้ โรงแยกอากาศของเอ็มเอพี เป็นความร่วมมือในการศึกษาต่อยอดนวัตกรรมการใช้ประโยชน์ของความเย็นจาก LNG ระหว่างบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) และบริษัท บางกอกอินดัสเทรียลแก๊ส จำกัด (บีไอจี) เพื่อนำพลังงานความเย็นจากการเปลี่ยนสถานะของ LNG มาใช้ ซึ่งถือเป็นโรงแยกอากาศแห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ใช้นวัตกรรมขั้นสูง 

สามารถผลิตก๊าซอุตสาหกรรม ได้แก่ ออกซิเจน ไนโตรเจน และอาร์กอน มากถึง 450,000 ตันต่อปี ซึ่งในปัจจุบันพลังงานความเย็นจาก LNG นี้ถูกปล่อยไปกับน้ำทะเล การนำพลังงานความเย็นกลับมาใช้ในกระบวนการแยกอากาศของเอ็มเอพีนี้ จะเป็นการนำพลังงานความเย็นมาใช้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยจะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศได้กว่า 28,000 ตันต่อปี จากการลดใช้ไฟฟ้าในกระบวนการแยกอากาศ ซึ่งถือเป็นเริ่มต้นสำคัญของภาคอุตสาหกรรมเพื่อเตรียมพร้อมให้ประเทศไทยมุ่งสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ หรือ Net Zero Emissions
นายวุฒิกร สติฐิต รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ หน่วยธุรกิจก๊าซธรรมชาติ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปตท. มีเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 15% ภายในปี 2573 จากปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปี 2563 โดยร่วมสนับสนุนเป้าหมายของประเทศผ่านวิสัยทัศน์ Powering Life with Future Energy and Beyond เพื่อผลักดันการลงทุนในพลังงานอนาคต อาทิ พลังงานจากไฮโดรเจน รวมถึงลงทุนในธุรกิจนอกเหนือจากพลังงาน อาทิ อาหารและยาทางการแพทย์ 

อีกทั้ง ปตท. วางแผนที่จะบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral) ภายในปี 2593 และบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emission) ภายในปี 2608 ตามนโยบายของกระทรวงพลังงาน

วุฒิกร สติฐิต รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ หน่วยธุรกิจก๊าซธรรมชาติ  ปตท.
นายปิยบุตร จารุเพ็ญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บางกอกอินดัสเทรียลแก๊ส จำกัด หรือ บีไอจี กล่าวว่า เป้าหมายการลดการปลดปล่อยคาร์บอนของบีไอจีจะร่วมกับแคมเปญ Third by ’30 ของบริษัท แอร์โปรดักส์ แอนด์ เคมิคัลส์ อิงค์ (Air Products and Chemicals, Inc.) ซึ่งเป็นบริษัทแม่จากประเทศสหรัฐอเมริกา 
โดยในปี 2573 จะลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ 1 ใน 3 จากปี 2558 ผ่านโครงการต่าง ๆ เช่น การผลิตก๊าซอุตสาหกรรมโดยใช้ไฟฟ้าลดลงเพื่อลดการปลดปล่อยคาร์บอน การปรับปรุงระบบปฎิบัติการ (Operational Excellence) ให้มีประสิทธิภาพ เป็นต้น 
ในส่วนของบีไอจีจะเน้นใน 3 หัวข้อหลักได้แก่ การลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ รวมทั้งปรับปรุงกระบวนการผลิตในเกิดประสิทธิภาพสูงสุดด้วยการปฏิบัติการที่เป็นเลิศ (Operational Excellence) การสร้างความยั่งยืนให้เกิดขึ้นร่วมกับภาคอุตสาหกรรม ด้วยการนำนวัตกรรมจากก๊าซอุตสากรรมไปปรับใช้ (Optimize) เพื่อเพิ่มผลผลิต รวมถึงการมี Digital Platform เข้ามาช่วยอำนวยความสะดวก รองรับในยุค 4.0 และ Carbon Reduction Value ซึ่งบีไอจีจะเป็นพันธมิตรในการร่วมเป็นส่วนหนึ่งของภาคอุตสาหกรรมในการผลักดักให้เกิดสังคมคาร์บอนต่ำ โดยเริ่มจากการผลิตก๊าซอุตสาหกรรมจากโรงแยกอากาศของเอ็มเอพี

ปิยบุตร จารุเพ็ญ กรรมการผู้จัดการ บีไอจี
นายพงษ์ศักดิ์ เหลืองจินดารัตน์ ผู้จัดการทั่วไป อ็มเอพี กล่าวว่า กระบวนการแยกอากาศโดยใช้ความเย็นจาก LNG นั้น ช่วยลดการใช้พลังงานไฟฟ้าเมื่อเทียบกับกระบวนการแยกอากาศทั่วไป โดยสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 28,000 ตันต่อปี ซึ่งเป็นการตอบโจทย์ประเทศไทย บนฐานโมเดลเศรษฐกิจ BCG เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการปรับตัวของภาคธุรกิจและยังช่วยตอบโจทย์การแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
เป็นที่ทราบกันดีว่า กลุ่มสหภาพยุโรปได้มีการผลักดันนโยบายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยคาดว่าจะมีกฎเกณฑ์บังคับใช้ให้ผู้ผลิตสินค้าที่ส่งออกไปยังสหภาพยุโรป ต้องมีส่วนร่วมในการลดการปลดปล่อยคาร์บอนลงให้ได้ และประเทศอื่น ๆ กำลังขยับตามมาตรการนี้เช่นกัน
ดังนั้น ลูกค้าของเอ็มเอพีทุกรายที่ใช้ก๊าซอุตสาหกรรมจากโรงงานแห่งนี้ สามารถยืนยันได้ว่ามีการใช้วัตถุดิบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมที่ช่วยการปลดปล่อย CO2 จากกระบวนการผลิตตั้งต้น ซึ่งถือว่าเป็น Sustainable Offering ของ MAP ในการช่วยให้ธุรกิจของลูกค้าเติบโตไปพร้อมๆ กัน ช่วยลดผลกระทบด้านลิ่งแวดล้อมในเรื่อง Climate Change และยังช่วยผลักดันประเทศไทยเข้าใกล้ Net Zero Emissions อีกด้วย