ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน ลูกจ้าง พนักงาน จะต้องรับมือ และต้องทำอย่างไรบ้าง เพื่อฝ่าวิกฤติครั้งนี้ไปให้ได้นั้น มีคำแนะนำจาก นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการหอการค้าไทย และนายกกิตติมศักดิ์ สมาคมผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูปที่ให้สัมภาษณ์กับ “ฐานเศรษฐกิจ”
มีแนวทางหรือข้อแนะนำภาคธุรกิจ รัฐบาล และประชาชน ในการปรับตัวรับมือวิกฤติครั้งนี้อย่างไร
ข้อเสนอต่อรัฐบาล
1.ไทยควรวางแผนล่วงหน้าเพื่อรับมือสถานการณ์ในระยะต่อไปด้วยความรอบคอบไว้ก่อน เนื่องจากเราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าสถานการณ์นี้จะขยายวงหรือยืดเยื้อยาวนานไปอีกเท่าใด ซึ่งการหารือและร่วมมือใกล้ชิดระหว่างรัฐและเอกชนเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง
2.รัฐควรสื่อสารเพื่อสร้างความเชื่อมั่นอย่างสม่ำเสมอให้กับภาคประชาชนและเอกชน เนื่องจากเป็นสิ่งสำคัญ
3. จัดสรรงบประมาณมาตรการการช่วยเหลือตามแผนมาตรการที่วางไว้ในการรับมือกับสถานการณ์ การจัดสรรงบประมาณควรนำไปสู่การใช้จ่ายที่คุ้มค่าและมีประสิทธิภาพให้มากที่สุดเช่น การดูแลและเยียวยาระยะสั้น เน้นการลงทุนเพื่ออนาคต โครงการที่มีพลังเพียงพอ เน้นการสร้างงาน สร้างความเข้มแข็งและเพิ่มขีด ความสามารถให้ภาคเอกชนไปพร้อมกัน เพื่อวางพื้นฐานการพัฒนาเศรษฐกิจในอนาคต
4.การรักษาเสถียรภาพด้านการเงินการคลังรวมถึงตลาดทุนมีความสำคัญมาก โดยเฉพาะในยามที่ภาวะเศรษฐกิจไม่ปกติและมีความเสี่ยงสูงนั้น เสถียรภาพและความเข้มแข็งของระบบจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน รวมถึงนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ และจะเป็นเกราะให้เศรษฐกิจของประเทศในยามที่สถานการณ์เศรษฐกิจโลกมีปัญหารุนแรง
1.ควรเตรียมพร้อมวางแผนรับมือ โดยการติดตามข่าวสารข้อมูลสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
2.ต้องประเมินผลกระทบและมีแผนรับมือล่วงหน้า โดยหากกรณีสถานการณ์เกิดรุนแรงเฉียบพลัน หรือยืดเยื้อ ผู้ประกอบการจะมีแผนรองรับการดำเนินธุรกิจอย่างไรให้อยู่รอดได้ ท่ามกลางต้นทุนที่สูงขึ้นผิดปกติมากจากภาวะ เงินเฟ้อ และกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ถดถอยลงนั้น
3.ผู้ประกอบการควรคิดถึงการปรับตัวและทางเลือกในการปรับแผนธุรกิจและบริหารจัดการไว้ล่วงหน้า สิ่งที่ต้องคำนึงสำหรับใช้วางแผนในสถานการณ์ที่ไม่ปกติในปัจจุบันนี้เช่น
o การเงิน : การรักษาสภาพคล่องในระยะสั้นให้เพียงพอมากที่สุด หรืออาจเก็บเงินสำรองในกรณีที่ ปัญหามีความยืดเยื้อ
o การลงทุนใหม่หรือลงทุนเพิ่มในระหว่างนี้ คงต้องใช้ความระมัดระวังและรัดกุมในการเลือกลงทุน แต่ทั้งนี้เราไม่จำเป็นต้องปิดประตูในการลงทุนใหม่เสียทั้งหมด เพราะอดีตที่ผ่านมาได้ชี้ให้เห็นว่า ในทุกภาวะวิกฤติย่อมมีโอกาสแทรกอยู่ด้วย
1.เตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ในเรื่องค่าใช้จ่ายและรายได้เป็นหลัก
2.ต้องทบทวนศักยภาพของตัวเองที่มีอยู่ แต่อาจไม่เคยถูกนำมาใช้อย่างเต็มที่ และพัฒนาสิ่งเหล่านั้นให้นำไปสู่โอกาสใหม่ ๆ ด้านอาชีพไว้รองรับหากเกิดสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด
3. มีการสำรองเงินฉุกเฉินเพื่อสถานการณ์ที่คาดไม่ถึง ในภาวะที่พวกเราต้องเผชิญกับความท้าทายและความเสี่ยงที่กำลังเพิ่มขึ้นมากเช่นปัจจุบัน ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนย่อมมีความจำเป็น โดยความร่วมมือใกล้ชิดจะเป็นรากฐานของการกำหนดมาตรการ และแนวทางการดูแลแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้นให้ตรงเป้าและสัมฤทธิผล
ขณะเดียวกันก็เป็นการเติมกำลังใจให้กันและกัน ให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่นว่า ประเทศไทยมี ความพร้อมที่จะจัดการกับสถานการณ์ที่อาจรุนแรงขึ้น และเราจะสามารถก้าวข้ามอุปสรรคไปได้ในทุกรูปแบบ