มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.) จัดประชุมเชิงปฏิบัติการ สมัชชามหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.) “อนาคต ม.อ.” เมื่อวันที่ 9-10 มี.ค.2565 ที่ Conference Hall ศูนย์ประชุมนานาชาติฉลองสิริราชสมับติครบ 60 ปี ผ่านระบบออนไลน์และถ่ายทอดสดผ่านเพจ @PSUconnext
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นิวัติ แก้วประดับ อธิการบดีมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.) เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ” ถึงการประชุมเชิงปฏิบัติการมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ในครั้งนี้ ว่า เพื่อกำหนดอนาคตของมหาวิทยาลัยและสื่อสารกับประชาคม ในการมองอนาคตร่วมกัน ช่วยกันกำหนดให้ชัดขึ้นว่า ประเด็นทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญที่มหาวิทยาลัยควรจะทำภายใต้สภาวะการเปลี่ยนแปลงมีอะไรบ้าง
สิ่งที่เราอยากฟังจากสมัชชาคือ ความเห็นที่อาจจะนอกเหนือไปจากนโยบาย หรือยุทธศาสตร์ที่วางไว้ เพราะมุมมองจากผู้ปฏิบัติจริงจะทำให้เราได้มองได้รอบด้านมากขึ้น คาดหวังการมีส่วนร่วมจากประชาคม ม.อ. เพื่อร่วมกันมอง ว่า ภายใต้ความเปลี่ยนแปลงหลาย ๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นดิจิทัล ทรานส์ฟอร์เมชั่น โครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนไป
จะสร้างโอกาสใหม่ ๆ ที่ทำให้มหาวิทยาลัยสามารถใช้ศักยภาพ เพื่อพัฒนาท้องถิ่น พัฒนาประเทศ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับประเทศ โดยการพัฒนาบุคลากรในรูปแบบใหม่ ในการสร้างองค์ความรู้และนวัตกรรมได้อย่างไร
“เขาอยากให้มหาลัยทำเรื่องอะไรบ้าง และอยากให้มหาลัยสนับสนุนในการทำงานของเขาอย่างไรบ้าง เพราะฉะนั้นการทำสมัชชา เป็นการสื่อสารอีกทางหนึ่ง เป็นการรับข้อมูลจากทุกภาคส่วน ทั้งฝ่ายบริหารและก็ผู้ปฏิบัติในระดับบุคคล”
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นิวัติ กล่าวและว่า ความพร้อมของ ม.อ. ในการไปสู่เป้าหมายในอนาคต หรือการพลิกโฉมของมหาลัย มีการเตรียมการมาประมาณ 2-3 ปี แล้ว เพราะทราบดีถึงภาวะคุกคาม ผลกระทบต่าง ๆ ภายใต้ภาวะที่มีความผันผวน ความไม่แน่นอน ความซับซ้อน ความไม่ชัดเจนทั้งหลาย ที่เราเรียกว่า VUCA (ภาวะเปลี่ยนแปลง หวือหวา ไม่แน่นอน ซับซ้อน ทำนายไม่ได้) ซึ่งได้วิเคราะห์กันมาตลอด
เพราะฉะนั้นจุดหนึ่งที่ต้องทำให้ชัด คือมหาลัยฯยังมีประโยชน์ในเรื่องของความรู้ เป็นพื้นที่การเรียนรู้ให้ทั้งคนในระบบ และคนในวัยทำงาน รวมถึงผู้สูงวัยในทุกช่วงวัย พัฒนาคนทุกช่วงวัย และการทำงานในการร่วมกับภาคีภาคส่วนต่าง ๆ จะเป็นกลไกทำให้มหาวิทยาลัยเปลี่ยนผ่าน และผ่านภารกิจให้มีความชัดเจน ตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
รวมทั้งตอบสนองต่อความต้องการความรู้ใหม่ ๆ ของประชาชน เพื่อไปสร้างอาชีพ หรือทำอาชีพที่ทําอยู่ให้ดีขึ้น หรือแม้แต่การที่จะพัฒนากำลังคนที่อยู่นอกระบบการศึกษา ให้เขามีโอกาสลดความเหลื่อมล้ำทั้งหลาย เพราะฉะนั้น กุญแจสำคัญพวกนี้มหาวิทยาลัยต้องเอามาประมวล แล้วออกแบบหลักสูตรต่าง ๆ ทั้งแบบให้เปล่า หรือแบบที่สามารถสร้างรายได้ให้กับมหาวิทยาลัยเอง เพื่อความยั่งยืนทางด้านการเงิน ซึ่งจะทำควบคู่กันไป
สำหรับความท้าทายในการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นิวัติ กล่าวว่า มีทั้ง 2 ส่วน ทั้งปัจจัยภายในจะเป็นเรื่องการปรับ Mindset (ความความคิด) วิธีคิด ทัศนคติของอาจารย์ที่ทำงาน อาจจะคุ้นชินกับงานวิชาการ แต่การที่จะทำให้เกิด Impact (ผลกระทบ) ต่อสังคมได้ ต้องปรับรูปแบบการทำงาน และอาจจะเพิ่มงานใหม่ ๆ ขึ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำงานร่วมกับภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ต้องไปทำงานมากขึ้นในพื้นที่ที่เรียกว่าเป็นพันธกิจเพื่อสังคม อาจจะต้องเพิ่มมาก และเรื่องที่จะเน้นย้ำมากเป็นพิเศษก็คือ การสร้างประโยชน์ให้กับเพื่อนมนุษย์ ตามปณิธานของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ตรงนี้ให้เขาได้คิดให้มากขึ้น ว่ายังมีคนอีกจำนวนมากในขณะนี้ ที่ประสบความเดือดร้อนภายใต้การเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ฉะนั้นมหาวิทยาลัยต้องเป็นที่พึ่งได้ ทุกคนต้องช่วยกันทำงานอย่างเต็มที่ ทั้งการสอนในระบบเดิม และการเพิ่มเติมงานใหม่ ๆ ดูแลสังคมร่วมกันครับ อันนี้ถึงจะเป็นคุณค่าของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์อย่างแท้จริง
สุดท้ายโอกาสของมหาวิทยาลัยฯ กับการตั้งเป้าหมายการเป็นมหาวิทยาลัยในระดับโลก ท่ามกลางวิกฤตต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นโควิด-19 หรือสถานการณ์โลกในขณะนี้นั้น อธิการบดีมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.) กล่าวว่า จากภาวะคุกคามทั้งหลายเป็นโอกาสที่เปิดกว้าง
“วิกฤตเป็นโอกาสเสมอ ถ้าเรามีความพร้อม มีความคิดมีระบบการทำงานที่ดี”
เพราะว่าวิกฤตทำให้เกิดความต้องการใหม่ ๆ ในทางวิชาการ ทางนวัตกรรม ที่เอาไปใช้เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงขึ้นก็ดี หรือเบื้องต้นการสร้างกำลังคนที่ต้องการความรู้ใหม่ ๆ เราสามารถจะปรับได้ เพราะว่ามหาลัยวิทยาลัยก็มีอาจารย์รุ่นใหม่ ๆ ทยอยเข้ามาไม่ได้อยู่นิ่ง
เพราะฉะนั้นองค์ความรู้จะใหม่อยู่ตลอด ความต้องการของคนรุ่นใหม่ ก็จะมีอาจารย์รุ่นใหม่ ๆ ที่สามารถตอบสนองได้ การปรับระบบงานเราทำงานเป็นทีมย่อย แล้วสอดร้อยกันในแต่ละทีม จะทำให้เกิดพลังในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลง และช่วยทำให้สังคมเติบโตก้าวหน้าไปด้วยกันได้
สมชาย สามารถ/สัมภาษณ์พิเศษ